ติดต่อลงโฆษณา racingweb@gmail.com

แสดงกระทู้

ส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถดูกระทู้ทั้งหมดสมาชิกนี้ โปรดทราบว่าคุณสามารถเห็นเฉพาะกระทู้ในพื้นที่ที่คุณเข้าถึงในขณะนี้


ข้อความ - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 5
1
Doctor At Home: เลือดกำเดา (Epistaxis/Nose bleed)

เลือดกำเดา (เลือดออกจากจมูก) เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่บริเวณเยื่อจมูกมีการแตกทำลาย ทำให้มีเลือดออกจากรูจมูก

ส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้าแตก มักมีเลือดออกจากจมูกข้างเดียว อาการมักไม่รุนแรง และเลือดหยุดได้ง่าย ภาวะนี้พบบ่อยในเด็ก

ส่วนน้อยเกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังจมูกด้านข้างซึ่งอยู่ลึกไปทางด้านหลังของจมูก (มีขนาดที่ใหญ่กว่าหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้า) แตก อาจมีเลือดออกจากจมูก 2 ข้าง และอาจมีเลือดออกมาก ซึ่งจะไหลลงคอและปาก ภาวะนี้พบบ่อยในผู้ใหญ่

เลือดกำเดาส่วนมากมักเกิดอาการขึ้นฉับพลัน บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในเด็กเล็ก (อายุ 2-10 ปี) และผู้สูงอายุ (อายุ 50-80 ปี) 

นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ (เนื่องจากหลอดเลือดขยายตัว ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแตกได้ง่าย) ผู้ที่สูบบุหรี่ (เนื่องจากบุหรี่ทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก จมูกแห้ง) หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด (เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และยับยั้งการแข็งตัวของเลือด)

ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เอง


สาเหตุ

โดยมากมักไม่มีสาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง

สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ การเจออากาศแห้งหรือหนาวเย็น หรือนอนในห้องปรับอากาศ การอักเสบของเยื่อจมูก (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ เป็นต้น) การอยู่ในที่สูงซึ่งมีความดันบรรยากาศลดลง (เช่น การนั่งเครื่องบิน การอยู่บนภูเขาสูง)

อาจเกิดจากได้รับบาดเจ็บ (เช่น ถูกแรงกระแทกที่ดั้งจมูก) มีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด

อาจพบร่วมกับโรคติดเชื้อ (เช่น หัด มาลาเรีย ไข้เลือดออก เป็นต้น) ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โรคตับเรื้อรัง (มีภาวะเลือดออกง่าย) การใช้ยา (เช่น ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก แก้คัดจมูก)

ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง บางครั้งก็อาจมีเลือดกำเดาไหล และถ้ามีความดันโลหิตสูงแบบวิกฤต (hypertensive crisis คือ ความดันช่วงบนมากกว่าหรือเท่ากับ 180 หรือช่วงล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 120 มม.ปรอท) ก็มักจะมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย

ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเลือดที่มีเลือดออกง่าย ได้แก่ ฮีโมฟิเลีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ ไอทีพี เป็นต้น ซึ่งมักมีเลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว อาจมีเลือดออกที่อื่น ๆ มีไข้ หรือตับโตม้ามโตร่วมด้วย

ในผู้ใหญ่ที่มีเลือดกำเดาบ่อยร่วมกับอาการคัดจมูก หูอื้อหรือมีก้อนบวมที่ข้างคอ อาจเกิดจากมะเร็ง หรือเนื้องอกในจมูกหรือโพรงหลังจมูก


อาการ

มีเลือดสด ๆ ไหลออกทางรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง

ถ้าออกที่ด้านหลังของจมูกอาจมีเลือดไหลลงคอและปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการไอออกมาเป็นเลือดจากเลือดกำเดาที่ไหลลงคอ หรืออาจกลืนเลือดลงไปในกระเพาะอาหารทำให้อาเจียน หรือมีอาการถ่ายอุจจาระดำ (ซึ่งเป็นเลือดเก่า มาจากเลือดกำเดาที่ไหลลงไปในลำไส้) ในวันต่อ ๆ มา


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าออกมากอาจทำให้เกิดภาวะซีดได้ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

อาจตรวจพบเลือดกำเดาไหลหรือจุดเลือดออกที่เยื่อจมูก ภาวะซีด (ในรายที่เสียเลือดมาก)

ในรายที่มีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา อาจตรวจพบความผิดปกติ เช่น ไข้ น้ำมูกไหล จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว เลือดออกตามที่อื่น ๆ ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก สิ่งแปลกปลอมในรูจมูก ความดันโลหิตสูง ดีซ่าน ตับโต เป็นต้น 

ในรายที่เลือดกำเดาออกรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือตรวจพบหรือสงสัยว่ามีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจจมูกและโพรงหลังจมูก ตรวจชิ้นเนื้อ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การปฐมพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่นเป็นเวลา 10 นาที บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน

ส่วนมากมักจะได้ผลโดยวิธีดังกล่าว ถ้าไม่ได้ผลให้ทำซ้ำอีกครั้งนาน 10 นาที

ถ้าเลือดยังไม่หยุด แพทย์จะใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชิ้นเล็ก ๆ ชุบอะดรีนาลิน ขนาด 1:1,000 ให้ชุ่มสอดเข้าในรูจมูกข้างที่มีเลือดออก ยัดให้แน่น ยานี้จะช่วยให้หลอดเลือดฝอยตีบลงและเลือดหยุดได้ ควรยัดผ้าก๊อซไว้นาน 2-3 ชั่วโมง เมื่อแน่ใจว่าเลือดหยุดดีแล้วจึงค่อย ๆ ดึงออก

ในรายที่เลือดออกไม่หยุด อาจต้องรักษาโดยการจี้ด้วยสารเคมี-ซิลเวอร์ไนเทรต (silver nitrate) หรือจี้ด้วยความร้อน (electrocautery)

2. ในรายที่แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม พบภาวะซีด หรือโรคที่เป็นสาเหตุ ก็จะทำการรักษาภาวะ/โรคที่ตรวจพบ เช่น ให้ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีภาวะซีดจากการเสียเลือด, ให้ยารักษาโรค (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด), ปรับเปลี่ยนยา (ที่ใช้รักษาโรคอยู่เดิม) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เลือดกำเดาไหล, เอาสิ่งแปลกปลอมออก, ผ่าตัดแก้ไข (เช่น ผนังกั้นจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูก) เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้ภายในเวลาสั้น ๆ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าหลังจากนั้นผู้ป่วยไม่ได้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ก็อาจกำเริบซ้ำได้อีก

ส่วนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา จำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุอย่างต่อเนื่อง
 

วิธีห้ามเลือดกำเดา

การปฐมพยาบาล สำหรับอาการเลือดกำเดาไหล

    จัดให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย
    ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน นาน 10 นาที
    ถ้าคลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่บีบจมูกออกแล้วเลือดยังไม่หยุด ให้ทำการบีบจมูกตามขั้นตอนข้างต้นซ้ำอีกครั้ง นาน 10 นาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดควรรีบไปพบแพทย์ หรือให้แพทย์ทำการช่วยเหลือด้วยวิธีอื่นต่อไป

หมายเหตุ

    ระหว่างให้การปฐมพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยนอนราบหรือเงยหน้าขึ้น เพราะผู้ป่วยอาจกลืนเลือดลงไประคายต่อกระเพาะอาหาร เกิดอาการอาเจียนได้ หากมีเลือดไหลลงคอหรือปาก ควรคายออก อย่ากลืนลงไป
    หลังจากให้การช่วยเหลือจนเลือดหยุดแล้ว ควรระวังไม่ให้มีเลือดกำเดาออกอีก โดย
    - รักษาศีรษะให้อยู่ในระดับสูงกว่าหัวใจ อย่าก้มศีรษะให้อยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ และห้ามออกแรงเบ่ง ยกของหนัก เป็นเวลา 4-5 ชั่วโมง
    - ห้ามสั่งน้ำมูก แคะจมูก ขยี้จมูก เป็นเวลา 4-5 วัน
    - ถ้าเป็นไปได้ควรระวังไม่ให้ไอ จาม


การดูแลตนเอง

1. เมื่อมีเลือดกำเดาไหล ควรทำการปฐมพยาบาล

ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ทำการปฐมพยาบาลไม่ได้ผล หรือมีเลือดกำเดาออกนานเกิน 20 นาที
    เลือดออกมาก หรือมีเลือดออกตามที่อื่น ๆ
    หายใจลำบาก
    มีอาการอาเจียนเพราะกลืนเลือดลงกระเพาะอาหารมาก
    ได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น รถชน ตกจากที่สูง ถูกทุบตีที่ศีรษะ/ใบหน้า/จมูก
    มีภาวะซีดจากการเสียเลือด หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว
    มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด/สารกันเลือดเป็นลิ่ม
    มีโรคประจำตัว เช่น โรคเลือด ความดันโลหิตสูง โรคตับเรื้อรัง
    พบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

2. กรณีที่ไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์ ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    - มีเลือดกำเดาไหลไม่หยุดหรือกำเริบใหม่
    - เจ็บหรือแน่นจมูกมาก หายใจลำบาก ปวดศีรษะมาก อาเจียนบ่อย มีไข้สูง เบื่อ อาหาร หรือน้ำหนักลด
    - กินยาที่แพทย์ให้กลับไปกินที่บ้าน แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

สำหรับเลือดกำเดาที่พบบ่อยซึ่งมักเกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการแคะจมูก และตัดเล็บให้สั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก)
    หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ
    ไม่สูบบุหรี่
    จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม
    ถ้าเป็นหวัด น้ำมูกไหล ใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ และไม่ใช้ติดต่อกันนาน ๆ
    หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศแห้งหรือหนาวเย็น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรพ่นรูจมูกด้วยสเปรย์น้ำเกลือ/หยอดจมูกด้วยน้ำเกลือ วันละ 2-3 ครั้งเพื่อให้จมูกชุ่มชื้น
    ถ้ามีอาการเลือดกำเดาเวลานอนในห้องปรับอากาศ ควรตั้งเครื่องเพิ่มความชื้นไว้ในห้อง หรือวางภาชนะใส่น้ำ (เช่น แก้ว ขัน กระป๋อง กะละมัง) ไว้ใกล้หัวนอน เพื่อเพิ่มความชื้น และ/หรือใช้วาสลินป้ายในรูจมูกก่อนนอน
    ถ้าทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อศีรษะ/จมูก ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน
    ในรายที่เกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ก็ควรดูแลรักษาโรคเหล่านี้ให้ถูกต้อง

ข้อแนะนำ

1. เลือดกำเดาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พบในเด็ก มักไม่รุนแรง และหยุดได้ภายใน 20 นาที โดยอาจหยุดได้เองหรือหลังให้การปฐมพยาบาล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเลือดกำเดาไหลนานหรือรุนแรง หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ หากมีเลือดกำเดาไหล อาจมีความรุนแรง มีเลือดไหลมากและนานได้ เนื่องจากอาจมีโรคประจำตัว (เช่น โรคเลือด โรคตับเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง มะเร็งโพรงหลังจมูก) หรือกินยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีผลทำให้เลือดออกง่าย (เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด สารกันเลือดเป็นลิ่ม) ดังนั้น เมื่อมีเลือดกำเดาเกิดขึ้น ควรเฝ้าสังเกตอาการ หากมีเลือดกำเดาออกมากหรือนานเกิน 20 นาที ก็ควรรีบไปพบแพทย์

2
บ้านติดรถไฟฟ้า ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต - คลอง 4 (Supalai Park Ville Rangsit - Klong 4)
เริ่มต้น 5.99 ลบ. 

ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต - คลอง 4 (Supalai Park Ville Rangsit - Klong 4)
บ้านเดี่ยว หลังใหญ่ พื้นที่กว้าง รองรับทุกคนในครอบครัว Modern Style ดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชันการใช้งานเหมาะกับทุกคนในครอบครัว ใช้วัสดุคุณภาพ ประหยัดพลังงาน ระบบ Home Automation รองรับการใช้งานของทุกคนในครอบครัว พื้นที่สวนขนาดใหญ่ 2 จุด เพื่อให้คุณและครอบครัวผ่อนคลายจากกิจกรรมภายนอก

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต - คลอง 4 (Supalai Park Ville Rangsit - Klong 4)
 เจ้าของโครงการ           ศุภาลัย
 แบรนด์ย่อย                ศุภาลัย พาร์ควิลล์
 ราคา                        เริ่มต้น 5.99 ลบ.

 ประเภทบ้าน            บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล           บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ           92 ไร่
 จำนวนบ้าน            375 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด     6 แบบ
  เนื้อที่บ้าน            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย          ตั้งแต่ 175 ถึง 318 ตร.ม.
 จำนวนชั้น            2 ชั้น
 หน้ากว้าง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน       ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ       2 คัน
 สาธารณูปโภค         สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, Keycard System (Easy Pass), Home Automation

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน          ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง          ตำบลบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, สถานี(บางซื่อ - รังสิต)(รังสิต)
ใกล้ทางด่วน (ทางด่วนกาญจนาภิเษก, ดอนเมืองโทลเวย์)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Lotus รังสิต คลอง 4 1.6 กม.
โรงเรียน สวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต 3 กม.
Dream World 3 กม.
โรงเรียนโชคชัย รังสิต 3.5 กม.
โรงพยาบาล บางปะกอก รังสิต 7 กม.
Future Park Rangsit 8 กม.
Zpell 8 กม.
โรงพยาบาลเปาโล รังสิต 8 กม.
สนามบินดอนเมือง 18 กม.

3
ตรวจอาการม่านตาอักเสบ (lritis/Anterior uveitis)

ม่านตาอักเสบ (ผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ ก็เรียก) เป็นภาวะอักเสบของม่านตา (iris)* พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในวัยทำงาน (กลุ่มอายุ 20-60 ปี) แม้โรคนี้พบได้ไม่บ่อย แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้

*ม่านตา คือเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบรูม่านตาที่ด้านหน้าตรงกลางลูกตา ซึ่งเห็นเป็นสีต่าง ๆ (เช่น น้ำตาล เทา ฟ้า) ม่านตาเป็นส่วนหนึ่งของผนังลูกตาชั้นกลาง (uvea) แต่เป็นส่วนที่อยู่ด้านหน้าของลูกตา เมื่อเกิดการอักเสบ เรียกว่า "ม่านตาอักเสบ (iritis)" หรือ "ผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ (anterior uveitis)" ซึ่งพบได้บ่อยที่สุดของโรคผนังลูกตาชั้นกลางอักเสบ (uveitis) ทั้งหมด

โรคผนังลูกตาชั้นกลางอักเสบ (uveitis) ถ้าเกิดที่ส่วนกลางของผนังลูกตา เรียกว่า Intermediate uveitis ถ้าเกิดที่ส่วนหลังของผนังลูกตา เรียกว่า Posterior uveitis ถ้าเกิดที่ผนังลูกตาทุกส่วนตั้งแต่ส่วนหน้าถึงส่วนหลัง เรียกว่า Panuveitis 

ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโรคม่านตาอักเสบ หรือผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ

สาเหตุ

ผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ส่วนที่ทราบอาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

    การติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น วัณโรค ซิฟิลิส) ไวรัส (เช่น เริม งูสวัด เอดส์) เชื้อรา (เช่น histoplasmosis) หรือโปรโตซัว (เช่น toxoplasmosis)
    การได้รับบาดเจ็บที่บริเวณตา เช่น ถูกกระทบกระแทก บาดแผลถูกแทงทะลุ บาดแผลถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือสารเคมี
    โรคภูมิต้านตนเอง (โรคออโตอิมมูน) ที่สัมพันธ์กับยีนเอชแอลเอ-บี27 (HLA-B27 หรือ Human leukocyte antigen B27)* เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โซริอาซิสหรือสะเก็ดเงิน
    ยาบางชนิด เช่น Rifabutin (ยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง), Cidofovir (ยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโรคเอดส์), Bisphosphonates (ยารักษาโรคกระดูกพรุน) เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้เป็นส่วนน้อย เมื่อหยุดยาอาการก็จะหายเป็นปกติ 
    การสูบบุหรี่ พบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคม่านตาอักเสบมากขึ้น

*เป็นยีน (พันธุกรรม) ที่พบในคนบางคน ซึ่งกำหนดให้ร่างกายสร้างแอนติเจน (สารโปรตีนชนิดหนึ่ง) ที่อยู่บนผิวของเม็ดเลือดขาว เรียกว่า "Human leukocyte antigen B27" แอนติเจนชนิดนี้ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเซลล์ที่ปกติของร่างกาย ก่อเกิดโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune disease) ได้หลากหลายชนิด

อาการ

อาการอาจเกิดกับตาเพียงข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นม่านตาอักเสบแบบเฉียบพลัน คือมีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน บางรายอาจเป็นม่านตาอักเสบแบบเรื้อรัง คือมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือเป็นเรื้อรังนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป

ม่านตาอักเสบแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง น้ำตาไหล ไวต่อแสง (ไม่สู้แสง หรือกลัวแสง) ตามองเห็นไม่ชัดหรือพร่ามัว บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย

ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตามากเมื่ออยู่ในที่สว่างหรือมีแสงจ้า แต่จะดีขึ้นเมื่ออยู่ในที่ร่มหรือมีแสงสลัว

อาการมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และจะเป็นอยู่นานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ ถึงหลายสัปดาห์ เมื่อหายแล้วอาจกำเริบได้ใหม่

ม่านตาอักเสบแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการตาพร่ามัว ตาแดงเล็กน้อย ปวดตาเล็กน้อย และกลัวแสงเพียงเล็กน้อย มักเป็นนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป

นอกจากนี้ สำหรับม่านตาอักเสบที่มีความสัมพันธ์กับโรคอื่น ๆ ก็จะมีอาการของโรคนั้น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหลังเรื้อรัง (ถ้าเป็นข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) ท้องเดินเรื้อรัง (ถ้าเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรัง) มีไข้หรือไอเรื้อรัง (ถ้าเป็นวัณโรคปอด) เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ดังนี้

    ต้อกระจก มักพบในผู้ป่วยที่ปล่อยให้ม่านตาอักเสบเรื้อรังนาน ๆ 
    ต้อหิน เนื่องจากมีการอุดกั้นของทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตา ซึ่งอาจเกิดจากมีเม็ดเลือดขาวที่เกิดจากการอักเสบไปอุดกั้น หรือเกิดจากมีพังผืดไปทำให้ทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตายึดติดกัน ทำให้ความดันลูกตาเพิ่มสูงขึ้น และกลายเป็นต้อหินตามมา
    ขอบรูม่านตาไม่เรียบ (irregular pupil) เนื่องจากมีพังผืดไปทำให้เกิดการยึดติดกันของม่านตากับกระจกตาหรือเลนส์ตา (แก้วตา)   
    กระจกตาเสื่อม เนื่องจากมีหินปูนพอกกระจกตา ทำให้สายตาพร่ามัว
    น้ำวุ้นลูกตาอักเสบ (vitritis) มีอาการเห็นเงาหยากไย่หรือจุดดำ (floaters) ลอยไปมามากขึ้น โดยการมองเห็นไม่ได้แย่ลง
    จอตาอักเสบ (retinitis) ทำให้สายตาพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็น
    จุดภาพชัดที่จอตาบวม (macular edema) ทำให้มองเห็นช่วงตรงกลางของภาพไม่ชัดหรือพร่ามัว

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย รวมทั้งการตรวจตา จะพบว่าบริเวณตาขาวที่อยู่ใกล้ขอบตาดำ มีลักษณะแดงเรื่อ ๆ โดยไม่มีขี้ตา แต่อาจมีน้ำตาไหล รูม่านตาอาจมีขนาดเล็กกว่าข้างปกติ มีรูปลักษณ์ผิดแปลกหรือขอบไม่เรียบ กระจกตาอาจมีลักษณะขุ่นเล็กน้อย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจวัดสายตา ความดันลูกตา การใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ (slit-lamp ซึ่งสามารถเห็นทั้งภายนอกและภายในดวงตาแบบภาพ 3 มิติ) ส่องตรวจตา

นอกจากนี้ ในรายที่สงสัยว่ามีภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุร่วมด้วย แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด (ดูภาวะติดเชื้อ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส) เอกซเรย์ (เช่น ตรวจหาวัณโรคปอด ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) เป็นต้น

ในรายที่เป็นเรื้อรัง มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือสงสัยว่ามีความสัมพันธ์กับโรคภูมิต้านตนเอง อาจทำการตรวจเลือดหายีนเอชแอลเอ-บี27 (HLA-B27)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะตรวจหาภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุ และให้การรักษาสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยาต้านจุลชีพ (ปฏิชีวนะ/ยาต้านไวรัส) ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อ ให้สเตียรอยด์/ยากดภูมิคุ้มกัน ในรายที่เป็นโรคภูมิต้านตนเอง

ส่วนภาวะม่านตาอักเสบ แพทย์จะให้การรักษา ดังนี้

    ให้ยาหยอดตาที่ทำให้รูม่านตาขยาย เพื่อให้ม่านตาได้พักบรรเทาอาการปวด และป้องกันไม่ให้ม่านตาที่อักเสบไปยึดติดกับแก้วตาที่อยู่ข้างหลัง
    ให้สเตียรอยด์ชนิดเป็นยาหยอดตา เพื่อลดการอักเสบ หากไม่ได้ผลหรือมีอาการกำเริบบ่อย ก็จะให้สเตียรอยด์ชนิดกิน หรือให้ยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressant)   

ผลการรักษา การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้โรคทุเลาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ ส่วนใหญ่อาจต้องใช้เวลารักษาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนจนกว่าอาการจะทุเลาดี

สำหรับม่านตาอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บ มักจะค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อ อาการจะทุเลาหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ (ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัส)

บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ นานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดจากโรคภูมิต้านตนเอง (เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) แพทย์จะให้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ไว้ประจำที่บ้าน และแนะนำว่าเมื่อมีอาการกำเริบใหม่ ให้ใช้หยอดตาทันทีแล้วค่อยไปพบแพทย์


การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นม่านตาอักเสบ (มีอาการปวดตา ตาแดง และตามัว) ควรปรึกษาแพทย์ด่วน

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ
    ประคบตาด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ วันละ 3-4 ครั้ง นานครั้งละ 20 นาที
    สวมแว่นตาดำ หากมีอาการปวดตามากขึ้นเวลาถูกแสงสว่าง
    ถ้าปวดตามาก กินพาราเซตามอลบรรเทาปวด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการปวดตารุนแรง ตาแดงหรือตามัวมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลดี

สำหรับส่วนที่มีสาเหตุ เช่น การบาดเจ็บ โรคติดเชื้อ (เช่น เริม งูสวัด วัณโรคปอด ซิฟิลิส) โรคภูมิต้านตนเอง (เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคโซริอาซิส) เป็นต้น ก็อาจป้องกันไม่ให้ม่านตาอักเสบกำเริบด้วยการป้องกันและควบคุมภาวะเหล่านี้

ข้อแนะนำ

1. อาการปวดตาและตาแดง อาจมีสาเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ หรืออาจมีสาเหตุที่รุนแรง เช่น ต้อหิน แผลกระจกตา ม่านตาอักเสบ เราอาจวินิจฉัยแยกกลุ่มโรคที่รุนแรงออกจากกลุ่มที่ไม่รุนแรงได้ โดยการตรวจพบว่า กลุ่มโรคที่รุนแรงจะมีอาการปวดตามาก ตามัว รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือกระจกตาขุ่นหรือเป็นฝ้าขาว หากพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ด่วน (ตรวจอาการ ตามัว/ตาฝ้าฟาง/มองเห็นเงาหรือภาพผิดปกติ/เห็นภาพซ้อน และ ปวดตา/เจ็บตา เพิ่มเติม)

2. ผู้ป่วยควรดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการปวดตาและตามัวอย่างฉับพลัน ควรได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง จะช่วยให้โรคทุเลาดี และป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการสูญเสียการมองเห็น (ตาบอดอย่างถาวร)

นอกจากนี้ ผู้ป่วยไม่ควรใช้ยาพร่ำเพรื่อเกินที่แพทย์แนะนำ หรือหยุดยาเองตามใจชอบ หรือซื้อยามาใช้เอง และไม่ควรนำยาที่แพทย์สั่งให้ใช้ไปให้ผู้อื่นใช้ เนื่องจากยาเหล่านี้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาสเตียรอยด์) อาจมีผลข้างเคียง (เช่น ต้อหิน ต้อกระจก) หรือเกิดผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้หากใช้ไม่ถูกต้อง

4
จัดฟันบางนา: วิธีการดูแลสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรงและสวยงาม

สุขภาพช่องปาก เป็นเรื่องต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากเราไม่ใส่ใจดูแลรักษาฟันแล้ว อาจก่อให้เกิดฟันผุ ปวดฟัน และทำให้มีกลิ่นปากได้ เพราะว่าเรานั้นใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารอย่างหนัก แต่หลายคนกลับละเลย การดูแลรักษาฟัน และเหงือกไปซะอย่างนั้น ปัญหาในช่องปากเลยถามหา โดยเฉพาะคราบแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบหินปูน และเร่งให้ฟันผุเร็วขึ้น ทำให้เสี่ยงโรคร้ายได้เกินกว่าจะคาดคิด เรามีเคล็ดลับการดูแลสุขภาพฟันให้แข็งแรงมาบอกต่อ เพื่อที่ฟันแข็งแรงและสวยงามอยู่กับเราไปตลอด…


วิธีดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน

1.    แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพราะนอกจากจะทำให้ฟันสะอาดแล้วก็ยังทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วย และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคที่เรียที่มาจากคราบจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุของการฟันผุและโรคเหงือกอีกมากมาย

2.    ใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม เพราะแปรงที่มีขนแข็งเกินไปอาจจะทำให้เหงือกร่นได้ และควรแปรงฟันไม่ต่ำกว่า 2 นาที

3.    ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์และควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม เพราะแปรงที่มีขนแข็งเกินไปอาจจะทำให้เหงือกร่นได้

4.    ควรใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วยทุกครั้งเพื่อลดคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามซอกฟันที่ขนแปรงเข้าไม่ถึง โดยพันไหมขัดฟันไว้ที่นิ้วชี้ ทั้งสองข้าง และใช้นิ้วโป้งช่วยจับไหมขัดฟันไว้ จากใช้ไหมขัดฟันพันรอบฟันทีละซี่ ขัดขึ้น-ลง อย่าขัดข้างหน้า-หลัง และอย่าขัดแรงเพราะจะทำให้เจ็บเหงือกได้

5.    ไม่ควรใช้การเคี้ยวหมากฝรั่งหรือใช้น้ำยาบ้วนปากแทนการแปรงฟัน เพราะไม่ช่วยให้คราบจุลินทรีย์ต่าง ๆ หลุดออกไปได้

6.    คนที่ใส่เหล็กดัดฟันหรือใส่ฟันปลอม อย่าลืมตรวจสอบและทำความสะอาดเป็นประจำ

7.    ตรวจสุขภาพฟันตามกำหนดทุก 6 เดือน


5
mobile expo 2025: เอเซอร์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานบนคลาวด์ด้วย Chromebook Plus Enterprise สองรุ่นใหม่

เอเซอร์ เปิดตัว Chromebook Plus Enterprise 2 รุ่นใหม่ ด้วยเทคโนโลยีอันทรงพลังและความสามารถของ AI จาก Google ที่จะช่วยให้ธุรกิจ องค์กร และผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ทันสมัยด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อการทำงานบนคลาวด์ให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

Acer Chromebook Plus Enterprise ทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ Acer Chromebook Plus Enterprise 515 และ Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 ช่วยปลดล็อกและเสริมประสิทธิภาพการทำงานของ Chrome OS ทำให้มั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง การจัดการที่เรียบง่าย การเข้าถึงที่ยืดหยุ่น และการสนับสนุนด้านการดูแลระบบที่ได้รับการปรับปรุง ควบคู่ไปกับมาตรฐานความเร็ว หน่วยความจำ และพื้นที่เก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นสองเท่า. Acer Chromebook Plus Spin 514 (CP514-4HN) สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและระดับองค์กร

Acer Chromebook Plus Enterprise รุ่นใหม่ ได้นำ Google AI บน ChromeOS มาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและการทำงานร่วมกันของพนักงาน และองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดเล็ก ร้านค้าปลีกไปจนถึงหน่วยงานด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งทุกภาคส่วนต่างต้องการอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้และรองรับการทำงานด้าน AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และ Acer Chromebook Plus Enterprise รุ่นใหม่นี้ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เจมส์ ลิน ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก, เอเซอร์ อิงค์ กล่าว

ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ 7 150U, RAM LPDDR5X สูงสุด 16 GB ให้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม รวมถึงความสามารถการทำงานแบบมัลติทาสก์ที่เพิ่มขึ้น และความสามารถทาง AI เพื่อการทำงานร่วมกันบนระบบคลาวด์. ธุรกิจและองค์กรต่างๆ มั่นใจได้กับระบบ ChromeOS ช่วยให้การใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ มีความอย่างราบรื่นและปลอดภัย นอกจากนี้ Acer Chromebook ยังเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 10 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จแบบเร็วเพื่อช่วยประหยัดเวลา
รองรับการประชุมทางออนไลน์ในหลายแอปพลิเคชั่น ด้วย Google AI-powered Call Tools

การประชุมออนไลน์ใน Acer Chromebook Plus Enterprise สามารถเลือกใช้แอปที่ต้องการได้ เช่น Zoom, Slack, Google Meet และ Microsoft Teams ที่สามารถมั่นใจได้ว่าภาพของผู้ใช้งานจะดูดีและเสียงชัดเจนด้วยเว็บแคมของเครื่องที่มาพร้อมเทคโนโลยี Temporal Noise Reduction (TNR) จาก Acer ช่วยตัดเสียงรบกวน นอกจากนี้ เครื่องมือสำหรับวิดีโอคอลที่ใช้ AI จาก Google ที่ติดตั้งมากับ ChromeOS ยังช่วยปรับปรุงความคมชัดและความสว่างของแสง ตัดเสียงรบกวนอัตโนมัติ และเบลอพื้นหลังโดยอัตโนมัติ ลำโพงคู่และระบบเสียง DTS® Audio ช่วยเพิ่มคุณภาพของเสียงให้ดีมากขึ้นเพื่อการประชุมที่สมบูรณ์แบบ
หน้าจอขนาดใหญ่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมดีไซน์ที่แข็งแรงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
   
Acer Chromebook Plus Enterprise 515 (CBE595-2/T) มีหน้าจอแสดงผล Full HD 15.6” (1920x1080) เทคโนโลยี IPS ช่วยให้มองเห็นรายละเอียดในสเปรดชีท, กราฟิก และรูปภาพ ได้อย่างคมชัด หน้าจอขนาดใหญ่ยังมีพื้นที่เพียงพอสำหรับแป้นพิมพ์ตัวเลขเฉพาะบนคีย์บอร์ด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้อนข้อมูล เหมาะสำหรับผู้ใช้งานในสายงานการเงิน, ธุรกิจค้าปลีก, บริการ รวมถึงงานในสาย STEM (วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์)
   
Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 (CPE594-1N) มาพร้อมหน้าจอ 14” WUXGA (1920x1200) ด้วยดีไซน์แบบ 2-in-1 และบานพับ 360 องศา ช่วยให้ Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ถึงสี่แบบ ได้แก่ การใช้งานแบบโน้ตบุ๊ก, แบบแท็บเล็ต, การใช้งานแบบสัมผัสหรือแบบการจดบันทึกรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา USI active stylus โดยตรงบนหน้าจอทัชสกรีน Antimicrobial Corning® Gorilla® Glass พกพาคล่องตัวด้วยน้ำหนักเพียง 1.5 กก.

Acer Chromebook Plus Enterprise ทั้ง 2 รุ่น มีบอดี้ที่แข็งแรงทนทานได้รับมาตรฐาน MIL-STD 810H และทนต่อแรงกระแทกได้ดี นอกจากนี้ยังเสริมรูปลักษณ์ให้เหมาะในสถานการณ์ที่ต้องพบปะลูกค้า การใช้งานในร้านค้าปลีก การประชุม รวมถึงพกพาได้สะดวก ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมแป้นพิมพ์ Backlit ช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพแม้ในสภาพแสงน้อย ทำงานบนคลาวด์ได้อย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อสัญญาณได้รวดเร็วและเสถียรด้วย Wi-Fi 6E พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อและอุปกรณ์ชาร์ตต่างๆ เช่น HDMI และพอร์ต USB Type-C

Acer Chromebook Plus Enterprise รุ่นใหม่จากเอเซอร์ รองรับภารกิจ Earthion โดยมีการลงทะเบียน EPEAT หลายรายการ รวมถึงคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ทัชแพด OceanGlass™ ที่ทำมาจากขยะพลาสติกที่อยู่ในทะเล ประกอบด้วยวัสดุรีไซเคิล บรรจุภัณฑ์ที่คำนึงถึงความยั่งยืน และการออกแบบเพื่อช่วยเรื่องการประหยัดพลังงานที่ตรงตามการรับรอง Energy Star.


Acer Chromebook Plus Enterprise โน้ตบุ๊กสำหรับธุรกิจ

Acer Chromebook Plus Enterprise มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ปลดล็อคทุกการใช้งานสำหรับ Chrome OS ช่วยให้ฝ่าย IT เตรียมอุปกรณ์ให้กับพนักงานได้อย่างรวดเร็วด้วยการลงทะเบียนแบบ Zero-Touch และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการจัดการอุปกรณ์ที่ง่ายต่อการดูแล ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้ง่ายขึ้น. ChromeOS ยังช่วยปกป้องอุปกรณ์ให้ปลอดภัยมากขึ้น และช่วยป้องกันการโจมตีและโจรกรรมทางไซเบอร์ ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น การจัดการระบบคลาวด์ ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล. การอัพเดทระบบ รายงานข้อมูลเชิงลึก และการแก้ปัญหาด้านเทคนิคทำได้ง่ายขึ้นด้วยการบริการจาก Google Support  ตลอด 24 ชั่วโมง (ทุกวัน) และการช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับ  ChromeOS

Chrome Education Upgrade เพื่อการจัดการ การใช้งานในสถานศึกษา
Acer Chromebook Plus รุ่นใหม่รองรับการใช้งานร่วมกับ Chrome Education Upgrade สำหรับการจัดการอุปกรณ์ในสถานศึกษาได้อย่างราบรื่น. Chrome Education Upgrade ช่วยให้ผู้ดูแลระบบจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้ดี ช่วยจัดการคุณสมบัติทั้งหมดของ Chromebook ผู้ดูแลระบบยังสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติที่ดีของ Chromebook Education Upgrade เช่น การตั้งค่าอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งานสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานด้วย zero-touch enrollment และ Google Support ที่ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง 

ราคาและการวางจำหน่าย
Acer Chromebook Plus Enterprise 515 (CBE595-2/T) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนมิถุนายน ราคาเริ่มต้นที่ 649.99 USD สำหรับทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 579 EUR.
Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 (CPE594-1N) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนสิงหาคม ราคาเริ่มต้นที่ 749.99 USD สำหรับทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 679 EUR.
Acer Chromebook Plus Spin 514 (CP514-4HN) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนสิงหาคม ราคาเริ่มต้นที่ 549.99 USD สำหรับทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 679 EUR.
รายละเอียดสเปก ราคา และการวางจำหน่ายอาจแตกต่างกันตามภูมิภาค. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางจำหน่าย ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ และราคาได้ที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้คุณ

เข้าชม Acer’s Media Center สำหรับภาพผลิตภัณฑ์ สเปคและข้อมูลต่างๆ หรือ Acer Press Room เพื่อติดตามข่าวสารทั้งหมดจากเอเซอร์

6
วัดน้ำเชี่ยวเป็นวัดที่เงียบสงบธรรมชาติสวยงามเหมาะใส่ชุดขาวปฏิบัติธรรมแบบพุทธละวางความยึดติด

วัดน้ำเชี่ยวตั้งอยู่ในจังหวัดตราดซึ่งเป็นจังหวัดที่เงียบสงบเหมาะแก่การหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน วัดแห่งนี้รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและบรรยากาศที่สงบเงียบเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรม พัฒนาความสงบภายในและดื่มด่ำกับการปฏิบัติธรรมแบบพุทธใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดน้ำเชี่ยวตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม

โดยมีฉากหลังเป็นต้นไม้และพืชพรรณท้องถิ่นที่เงียบสงบ บรรยากาศที่เปิดโล่งสดชื่นช่วยสร้างความสงบ ชวนให้ผู้มาเยี่ยมชมตัดขาดจากสิ่งรบกวนภายนอกและมุ่งความสนใจไปที่ปัจจุบัน สถาปัตยกรรมของวัดและทิวทัศน์รอบข้างที่เรียบง่ายช่วยสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบเป็นธรรมชาติ เหมาะแก่การทำสมาธิและการไตร่ตรองส่วนตัว

การปฏิบัติธรรม: การเจริญสติและความเมตตา
การปฏิบัติธรรมที่วัดน้ำเชี่ยวประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อให้มีความตระหนักรู้และเข้าใจคำสอนของพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น วัดมักจัดให้มีการนั่งสมาธิโดยมีพระภิกษุผู้มีประสบการณ์เป็นผู้นำ ซึ่งจะคอยแนะนำผู้เข้าร่วมในการสงบจิตใจและสังเกตความคิดโดยไม่ตัดสิน กิจกรรมเหล่านี้มักประกอบด้วย:

การนั่งสมาธิและการเดินสมาธิ:การสลับระหว่างการนั่งสมาธิและการเดินสมาธิอย่างมีสติ ช่วยให้ผู้เข้าร่วมมีความตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ทางร่างกายของตนเอง และมีสมาธิที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ธรรมเทศนา:ธรรมเทศนาของพระสงฆ์ในวัดจะให้ความรู้เกี่ยวกับปรัชญาพุทธ โดยมุ่งเน้นที่แนวคิดเช่น ความเมตตา วินัยในตนเอง และการละวางความยึดติด
การสวดมนต์และการไตร่ตรอง:การสวดมนต์ในตอนเช้าและตอนเย็นเป็นโอกาสในการบูชาและไตร่ตรองทางจิตวิญญาณร่วมกัน ส่งเสริมความรู้สึกเชื่อมโยงกับชุมชนและคำสอนของชาวพุทธ
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
สำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มตัว วัดน้ำเชี่ยวมีที่พักพื้นฐานไว้ให้บริการ ผู้มาเยี่ยมชมจะได้รับการสนับสนุนให้ใช้ชีวิตเรียบง่ายตลอดระยะเวลาที่เข้าพัก โดยเน้นที่การทบทวนตนเองและการเติบโตทางจิตวิญญาณ วัดจัดเตรียมอาหารพื้นฐานที่ปรุงตามแนวทางของพุทธศาสนา เพื่อสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพสำหรับการทำสมาธิและปฏิบัติธรรม

การเยี่ยมชมวัด: การเดินทางแห่งความสงบภายใน
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเคยมีประสบการณ์ในการทำสมาธิมาก่อน วัดน้ำเชี่ยวก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้และเติบโตได้ หากต้องการเยี่ยมชม ควรแต่งกายสุภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของวัด โดยให้ความเคารพต่อพระสงฆ์ในท้องถิ่นและผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่นๆ

เคล็ดลับปฏิบัติสำหรับการเยี่ยมเยือนที่มีความหมาย
มาถึงแต่เช้า:ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบเป็นพิเศษ ช่วยให้คุณเพลิดเพลินไปกับบริเวณวัดอันเงียบสงบก่อนที่จะเริ่มเซสชั่นการนั่งสมาธิ
มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่:มีส่วนร่วมในกิจกรรมและเปิดใจรับคำสอนเพื่อประสบการณ์ที่ดื่มด่ำอย่างแท้จริง
เคารพประเพณีท้องถิ่น:การปฏิบัติตามมารยาทในวัด เช่น การพูดจาเบาๆ และการแต่งกายให้เกียรติ จะช่วยสร้างบรรยากาศให้กับทุกคน
วัดน้ำเชี่ยวในจังหวัดตราดไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินทางสู่การมีสติ ความสงบ และการค้นพบตัวเองอีกด้วย

7
หมอออนไลน์: โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (โรคปวดข้อรูมาตอยด์ ก็เรียก) เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง พบได้ประมาณร้อยละ 1-3 ของคนทั่วไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4-5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ก็พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย

สาเหตุ

โรคนี้พบว่ามีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุข้อเกือบทุกแห่งทั่วร่างกายพร้อม ๆ กัน ร่วมกับมีการอักเสบของพังผืดหุ้มข้อ เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อ เชื่อว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรค หรือสารเคมีบางอย่าง (ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน) ทำให้มีการสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ที่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อในบริเวณข้อของตัวเอง เรียกว่า ปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune)

พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้มากขึ้น เช่น การมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ การสูบบุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน

อาการ

ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูกนำมาก่อนนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วต่อมาจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น

ส่วนน้อยอาจมีอาการของข้ออักเสบเกิดขึ้นฉับพลันภายหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ หลังผ่าตัด หลังคลอด หรืออารมณ์เครียด ซึ่งบางรายอาจมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโตร่วมด้วย

ข้อที่เริ่มมีอาการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ต่อมาจะเป็นที่ข้อไหล่ ข้อศอก

ผู้ป่วยจะมีลักษณะจำเพาะ คือมีอาการปวดข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง และข้อจะบวมแดงร้อน นิ้วมือนิ้วเท้าจะบวมเหมือนรูปกระสวย ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่ข้อขากรรไกรลงมาที่ต้นคอ ไหปลาร้า ข้อไหล ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือลงมาจนถึงข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า

บางรายอาจมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ และอาจเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย (ไม่เกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้างของร่างกาย) ก็ได้

อาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก) มักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า ทำให้รู้สึกขี้เกียจหรือไม่อยากตื่นนอน พอสาย ๆ หรือหลังมีการเคลื่อนไหวของร่างกายจะทุเลา

บางรายอาจมีการปวดข้อตอนกลางคืน จนนอนไม่หลับ

อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวัน และมากขึ้นทุกขณะนานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับกำเริบรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์

ถ้าข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายปี ข้ออาจจะแข็งและพิการได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะโลหิตจาง ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง อาการปวดชาปลายมือจากภาวะเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น อาการนิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น (Raynaud’s phenomenon) ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ตาอักเสบ หูอื้อ หูตึง หัวใจอักเสบ หลอดเลือดแดงอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ไข้ต่ำ ๆ น้ำหนักลด เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเป็นรุนแรงและเรื้อรังอาจทำให้ข้อพิการผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ บางรายอาจมีการผุกร่อนของกระดูก ในบ้านเราพบว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคนี้ยังอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น (โรคคาร์พัลทูนเนล) โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคปอดเรื้อรัง (จากการอักเสบและกลายเป็นพังผืดของเนื้อเยื่อปอด)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในระยะแรกอาจตรวจไม่พบอาการชัดเจน ในระยะที่เป็นมากอาจพบข้อนิ้วมือนิ้วเท้าบวมเหมือนรูปกระสวย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดจะพบค่าอีเอสอาร์ (ESR)* และ c-reactive protein สูง และมักจะพบรูมาตอยด์แฟกเตอร์ (rheumatoid factor) และสารภูมิต้านทานที่มีชื่อว่า "Anti-cyclic citrullinated peptide (anti-CCP) antibodies"

การตรวจเอกซเรย์ข้อจะพบมีการสึกกร่อนของกระดูก และความผิดปกติของข้อ

นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการตรวจอัลตราซาวนด์และถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค

*อีเอสอาร์ (ESR) ย่อจาก erythrocyte sedimentation rate หมายถึง อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง ค่าปกติต่ำกว่า 20 มม. ใน 1 ชั่วโมง

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

เริ่มแรกจะให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก นาโพรเซน)

ยานี้ต้องกินติดต่อกันทุกวัน นานเป็นเดือน ๆ หรือปี ๆ จนกว่าอาการจะทุเลา

ขณะเดียวกันก็จะให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมไปด้วย เช่น การใช้น้ำร้อนประคบ การแช่หรืออาบน้ำอุ่น ซึ่งมักจะแนะนำให้ทำในตอนเช้านาน 15 นาที

ผู้ป่วยควรพยายามขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บปวดลงได้

แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำการฝึกกายบริหารในท่าต่าง ๆ ซึ่งควรทำเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ข้อทุเลาความฝืดและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ผู้ป่วยควรหาเวลาพักผ่อน สลับกับการทำงาน หรือการออกกำลังกายเป็นพัก ๆ

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และอาจต้องเข้าเฝือกเพื่อให้ข้อที่ปวดได้พักอย่างเต็มที่

ถ้าให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ไม่ได้ผล อาจต้องให้สเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ แต่จะให้กินเป็นระยะสั้น

นอกจากนี้ แพทย์จะพิจารณาให้ยากลุ่ม Disease-modifying antirheumatic drugs (DMARDs) ที่ช่วยชะลอความรุนแรงของโรค และป้องกันภาวะข้อถูกทำลาย เช่น ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine), เมโทเทรกเซต (methotrexate), ซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine), ไซโคลสปอริน (cyclosporin), เลฟลูโนไมด์ (leflunomide) เป็นต้น ซึ่งมักจะได้ผลค่อนข้างดี และช่วยให้โรคมีระยะสงบ ไม่มีอาการ (remission) ไปได้

หากไม่ได้ผล แพทย์อาจให้ยาต้านการอักเสบกลุ่มใหม่ ๆ (เช่น etanercept, infliximab, rituximab, baricitinib, tofacitinib) ซึ่งมักให้ร่วมกับเมโทเทรกเซต (methotrexate)

ในรายที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล และข้อถูกทำลายผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดแก้ไข รวมทั้งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม (joint replacement) เพื่อให้กลับมาใช้การได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก กำมือลำบาก) ซึ่งมักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า หรือมีอาการปวดข้อนิ้วมือทุกข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง  ข้อนิ้วมือบวมเหมือนรูปกระสวย หรือมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หมั่นบริหารข้อตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง, ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ, แช่หรืออาบน้ำอุ่น
    ลดน้ำหนักถ้ามีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
    ออกกำลังกายที่ไม่รุนแรง เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ รำมวยจีน เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีระยะสงบ (ไม่มีอาการ) และอาการข้ออักเสบกำเริบสลับกันไป ส่วนน้อยที่อาจหายขาด และส่วนน้อยที่จะเป็นรุนแรงเกิดข้อพิการในเวลารวดเร็ว ผู้ป่วยควรติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง การใช้ยา การรักษาทางกายภาพบำบัด การกำหนดเวลาพักผ่อน ทำงาน และออกกำลังกายให้พอเหมาะ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำงานได้เป็นปกติส่วนใหญ่

2. หัวใจของการรักษาโรคอยู่ที่การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ กล่าวคือ จะต้องพยายามเคลื่อนไหวข้อและฝึกกายบริหารเป็นประจำทุกวัน อย่าอยู่นิ่ง ๆ เพราะยิ่งอยู่นิ่งข้อยิ่งฝืดแข็ง และขยับยากยิ่งขึ้น

3. ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาชุดกินเอง เพราะถึงแม้จะช่วยให้อาการทุเลาได้ แต่ก็อาจเกิดโทษจากยาสเตียรอยด์ หรือยาอันตรายอื่น ๆ ที่ผสมอยู่ในยาชุด

4. เนื่องจากยาที่ใช้รักษาโรคนี้ส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงในลักษณะต่าง ๆ กัน ผู้ป่วยควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาและผลข้างเคียงของยาที่ใช้ หากมีอาการที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียง (เช่น ปวดแสบ ปวดจุกแน่นท้อง ถ่ายอุจจาระดำ เป็นไข้ หรือเป็นโรคติดเชื้อบ่อย) เป็นต้น ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

5. ชาวบ้านอาจมีความสับสนในคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้เรียกเกี่ยวกับอาการปวดข้อ เช่น คำว่า รูมาติสซั่ม (rheumatism) ซึ่งหมายถึงภาวะต่าง ๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บปวด ปวดเมื่อย หรือปวดล้าของข้อ เส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงเป็นคำที่ใช้เรียกอาการปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยรวม ๆ ซึ่งสามารถแบ่งแยกสาเหตุได้มากมาย (ตรวจอาการปวดข้อ) ดังนั้น รูมาติสซั่ม (โรคปวดข้อ) จึงอาจมีสาเหตุจากข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไข้รูมาติก โรคเกาต์ และอื่น ๆ ไม่ได้หมายถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โดยเฉพาะ

8
จัดฟันบางนา: ฟันตาย สัญญาณอันตรายของช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม

ฟัน เป็นอวัยวะหนึ่งภายในช่องปากของเรา ที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยง โดยเส้นประสาทจะทำหน้าที่รับความรู้สึก เสียวฟัน เจ็บฟัน เส้นเลือดจะนำอาหารมาเลี้ยงฟัน หากเกิดอันตรายกระทบกระแทกกับฟัน หรือมีฟันผุถึงโพรงประสาทฟัน ฟันอาจเกิดการกระทบกระเทือนจนเซลล์ต่างๆ สูญเสียการทำหน้าที่ไปในภาษาทั่วไป เรียก ฟันตาย ซึ่งอาการฟันตายนั้น หลายคนอาจจะยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่อาการฟันตายนั้น ถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อช่องปากมากที่เราไม่ควรมองข้าม โยอาการฟันตายนั้นจะมีอาการที่สักเกตได้คือ ฟันเปลี่ยนสี มีสีที่คล้ำขึ้น มีตุ่มหนองที่เหงือก เหงือกบวมหรือกดเจ็บบริเวณปลายรากฟัน มีอาการบดเคี้ยวแล้วรู้สึกเจ็บ ซึ่งเกิดจากอาการอักเสบรอบปลายรากฟัน และถ้าหากเราเคยมีอาการเสียวฟันมากๆ เมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดื่มน้ำร้อนหรือน้ำเย็น แต่อยู่ๆ ก็ไม่รู้สึก อาจเป็นสัญญาณของฟันตายได้ โดยการรักษาอาการฟันตายอาจจะทำได้ด้วยการรักษารากฟัน หรือบางรายอาจจะต้องเข้ารับการถอนฟัน กรณีที่ฟันซี่นั้นไม่สามารถบูรณะได้ หรือเข้ารับการรักษามีความต้องการที่ถอนฟันซี่นั้น

โดยสาเหตุของการเกิดอาการฟันตายนั้น เกิดได้จาดหลายสาเหตุ แน่นอนว่าสาเหตุแรกและมักพบได้บ่อยเลยก็คือ ฟันผุ จนถึงโพรงประสาทฟันและไม่ได้รับการรักษาทำให้ แบคทีเรียสามารถเข้าไปทำอันตรายต่อเส้นเลือดและเส้นประสาทฟันจนเน่าทำให้ฟันตายได้ หรือฟันอาจจะถูกกระทบกระแทกอย่างแรงจากอุบัติเหตุ แรงที่กระแทกที่ฟันอย่างทันทีและอย่างแรง จะส่งผลให้โพรงประสาทฟันอาจช้ำจนฟันตายได้นั่นเอง นอกจากนี้ การใช้ฟันผิดประเภท โดยปกติการบดเคี้ยวอาหารธรรมดาทั่วๆ ไปก็ไม่มีปัญหาแต่บางท่านใช้ฟันในการกัดของแข็งมากๆ เช่น ใช้ฟันเปิดฝาขวดเบียร์ กัดเปลือกผลไม้แข็งๆ ใช้ฟันกัดเปลือกปู

ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้น ทำให้มีโอกาสทำให้ฟันแตกร้าว ทำให้ฟันตายได้ และอาจจะเกิดจากปัญหาฟันที่มีการสบฟันผิดปกติ เช่น ฟันล้ม ฟันเก เวลาสบฟันมีจุดสูงทำให้ฟันกระแทกบริเวณจุดเดิมเป็นประจำ ฟันซี่นั้นได้รับความกระทบกระเทือนอย่างต่อเนื่อง จนมีการเสื่อมสลายของเส้นเลือดและเส้นประสาท ก็ทำให้ฟันตายได้นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าหากเรามีความเสี่ยงหรือสังเกตอาการที่กล่าวมาข้างต้น หรือมีสาเหตุที่เสี่ยงต่อการเกิดฟันได้ก็ควรที่เข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษา เพราะถ้าหากปล่อยไว้ และละเลยสุขภาพช่องปากและฟันของเราแล้ว อาจจะทำให้เกิดปัญหาบริเวณฟันข้างเคียงได้

สำหรับวิธีการรักษาอาการฟันตายนั้น มีความจำเป็นจะต้องเข้ารับการรักษารากฟันหรือไม่ให้ฟันซี่นั้นเป็นแหล่งแพร่เชื้อ เพื่อเก็บฟันซี่นั้นให้ใช้บดเคี้ยวอาหารต่อไปได้ และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงต่อกระดูกรองรับรากฟันและฟันซี่ข้างเคียง แต่ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุโดยทำให้ฟันได้รับการกระทบกระแทกอย่างรุนแรง ควรให้ทันตแพทย์ตรวจ X-RAY และวินิจฉัย ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของปัญหาที่จะลุกลามทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา และที่สำคัญมากที่สุดคือ เราควรหมั่นดูแล เอาใจใส่ในเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัยในช่องปากและฟันให้ดี อย่าให้มีเชื้อโรคสะสมด้วยการแปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟันและอมน้ำยาบ้วนปากเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม ทางคลินิกอยากให้ทุกคนหันมาดูแลและเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและหันที่ดี เพราะการที่เรามีสุขภาพฟันที่ดี เป็นปัจจัยสำคัญของการที่เราจะมีบุคลิกภาพที่ดี ทำให้เรารู้สึกมั่นใจในการเข้าสังคม พบปะผู้คน และยังทำให้เป็นที่น่าประทับใจอีกด้วย หากใครมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน สามารถขอรับคำแนะนำจากทางคลินิกได้ ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านของการทันตกรรม มีบริการเกี่ยวกับทันตกรรมอย่างครบวงจร ช่วยให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน สามารถทำให้คุณได้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างเต็มที่

9
ทำบุญไหว้พระตราด 9 วัด ในเมือง พิกัดขอพรเสริมสิริมงคลให้ชีวิตดี

ไหว้พระตราด แนะนำสถานที่ไหว้พระ 9 วัด ตราด ในอำเภอเมือง ไปขอพรเสริมสิริมงคลและเสริมดวงให้ชีวิตดีกัน
ตราด เจ้าของคำขวัญ “เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ ระกำแสนหวาน หลังอานหมาดี ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา” เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย รวมถึงมีวัดวาอารามและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมายให้ไปสักการะขอพรเสริมสิริมงคล วันนี้เราเลยจะมาแนะนำ สถานที่ไหว้พระตราด มีทั้งวัดเก่าแก่ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง และศาลเจ้าเลื่องชื่อ แต่จะมีที่ไหนบ้างนั้นไปชมกัน

1. ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตราด

           ศาลหลักเมือง ที่ตั้งอยู่บนถนนหลักเมือง ตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด ไม่ไกลจากวัดโยธานิมิตและอ่างเก็บน้ำสระสีเสียด (เขาระกำตอนล่าง) เป็นศาลหลักเมืองที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ลักษณะทรงสิงห์คล้ายพระราชวัง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นพร้อมกับวัดโยธานิมิต เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยังเป็นพระยาวชิรปราการ เดินทางมารวบรวมไพร่พลเพื่อกู้ชาติที่เมืองตราด ภายในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ แท่นที่ประทับขององค์เจ้าพ่อหลักเมือง องค์เทพเจ้ากำเที่ยงไต้ตี่ และเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย ส่วนด้านหน้าอาคารจะเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองและเสาศิวลึงค์ ในวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี จะมีวันงานพลีเมือง (วันเซี่ยกงแซยิด) หมายถึงวันเกิดของเจ้าพ่อหลักเมือง

2. วัดโยธานิมิต

           พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย หรือที่เรียกกันว่า วัดโบสถ์ วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด แต่เล่ากันว่าสร้างขึ้นเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชรวบรวมไพร่พลที่เมืองตราด และเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ภายในวัดมีพระอุโบสถศิลปะแบบอยุธยา มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก ปัจจุบันกลายเป็นพระวิหาร เรียกว่า วิหารโยธานิมิต และเป็นที่เก็บโบราณวัตถุ เช่น หนังสือใบลาน คัมภีร์เทศน์ และรอยพระพุทธบาท อีกทั้งยังมีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชให้ได้สักการะกันด้วย

3. วัดไผ่ล้อม

           วัดไผ่ล้อม วัดสำคัญในจังหวัดตราด ตั้งอยู่บนถนนหลักเมือง ตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด เพราะเคยเป็นที่พำนักของ พระวิมลเมธาจารย์วรญาณคณานุรักษ์ สังฆโมกข์ (เจ้ง จนฺทสโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม บิดาแห่งการศึกษาจังหวัดตราด สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2326 (ตามหนังสือรับรองสภาพวัดของกรมการศาสนา) แต่ไม่มีปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ภายในบรรยากาศสงบ ร่มรื่น มีเจดีย์พิพิธภัณฑ์สามท่านเจ้าคุณ และสวนพุทธธรรมที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม

4. วัดคีรีวิหาร

           พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี ตั้งอยู่ที่บ้านท่าเลื่อน ตำบลตะกาง อำเภอเมืองตราด เดิมชื่อว่า วัดท่าเลื่อน หรือ วัดภูเขายวน ในทำเลซึ่งมองเห็นวิวทิวทัศน์ของป่าเขาและท้องทะเล อาณาบริเวณวัดมีความสงบ ร่มรื่นด้วยสวนป่าสักที่ปลูกเรียงรายเป็นระเบียบ ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถหลังใหญ่, พระเจดีย์, วิหารจีนอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธอุดมสมบูรณ์ พระอวโลกิเตศวร พระสังกัจจายน์ และเรือนรับรองสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นต้น

5. วัดบุปผาราม

           วัดบุปผาราม หรือ วัดปลายคลอง ตั้งอยู่ที่บ้านปลายคลอง ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด วัดเก่าแก่ที่สุดของจังหวัดตราด สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ราวรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2191) ต่อมาภายหลังท่านพระครูคุณสารพิสุทธิ์ (หลวงพ่อโห) อดีตเจ้าอาวาสในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้บูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะถาวรวัตถุในวัดจนมาถึงปัจจุบัน ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ เช่น พระอุโบสถที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโต พระประธานปางมารวิชัย ทำจากทรายแดงฉาบปูน พระนขา (เล็บมือ) จะเป็นสีขาวขุ่นเหมือนเล็บมือจริง ๆ, พิพิธภัณฑ์วัดบุปผาราม แหล่งรวบรวมโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า โดยเฉพาะพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ภายในพระอุโบสถและวิหารพระพุทธไสยาสน์ เป็นต้น

6. วัดศรีบูรพาราม

          วัดศรีบูรพาราม หรือที่เรียกว่า วัดเกาะตะเคียน ตั้งอยู่ที่บ้านเกาะตะเคียน ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด ไม่ไกลจากฝูงบิน 306 กองทัพอากาศ ผู้คนมักไปกราบไหว้ พระครูสังฆกิจบูรพา หรือ หลวงปู่บัว ถามโก หรือ พระอาจารย์บัว เจ้าอาวาสวัดศรีบูรพาราม พระผู้มีวัตรปฏิบัติงดงามแห่งเมืองตราด และยังนิยมบูชา น้ำมันงา หลวงปู่บัว เพราะเชื่อกันว่ามีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพัน นอกจากนี้ยังไม่ควรพลาดไปสักการะท้าวเวสสุวรรณองค์สีขาวงามสง่า และชมมหาเจดีย์ศรีบูรพาด้วย

7. พระพุทธสิริภูวดลมงคลชัย

           พระพุทธสิริภูวดลมงคลชัย หรือ พระจมน้ำ 1 ใน 25 UNSEEN New Series ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปสูงกว่า 5 เมตร จมอยู่ในน้ำกลางอ่างเก็บน้ำเขาระกำ โดยในอดีตจุดที่ตั้งของพระพุทธรูปเคยเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์เขาระกำ ตำบลหนองโสน อำเภอเมืองตราด ก่อนจะมีการสร้างพื้นที่อ่างเก็บน้ำเพิ่มจนทำให้น้ำท่วมถึง กลายเป็นจุดที่ชาวบ้านเรียกว่า "พระจมน้ำ" อย่างในปัจจุบัน ทั้งนี้ ยามน้ำลดจะเห็นองค์พระเต็มองค์ สามารถเดินลงไปสักการะขอพรใกล้ ๆ ได้
พระจมน้ำ

8. วัดสุวรรณมงคล

           วัดสุวรรณมงคล ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองเสม็ด อำเภอเมืองตราด ไม่ไกลจากที่ว่าการอำเภอเมืองตราด สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2351 เป็นวัดเก่าแก่คู่ชุมชนบ้านท่าตะเภามาอย่างยาวนาน สถานที่ประดิษฐาน พระพุทธสุวรรณมงคล (หลวงพ่อทอง) พระพุทธรูปนั่ง ปางมารวิชัย ศิลปะในสมัยพระเจ้าอู่ทอง สร้างด้วยเนื้อโลหะ ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก สูง 6 ศอก โดยสมเด็จเจ้านวลซึ่งเป็นญาติกับพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาสในสมัยนั้น เป็นผู้อัญเชิญมาจากวัดสังข์กระจาย ธนบุรี มาทางเรือสำเภา เข้าคลองท่าตะเภา และจะชักพระขึ้นที่หน้าวัด โดยทำอย่างไรพระพุทธรูปก็ไม่เคลื่อนที่ ต่อมามีอุบาสกเฒ่านุ่งขาวห่มขาวมาบอกให้หาละครรำนำหน้า (ละครชาตรี) แล้วให้ชาวบ้านช่วยกันชักพระขึ้น ปรากฏว่าเป็นไปอย่างง่ายดาย ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญเป็นพระประธานในพระอุโบสถจนถึงปัจจุบัน และบริเวณผนังพระอุโบสถยังมีภาพวาดพุทธประวัติให้ชมกันด้วย

9. วัดลำดวน

          วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สูง บริเวณถนนตราด-แหลมงอบ ตำบลหนองเสม็ด อำเภอเมืองตราด สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีร่องรอยของประวัติศาสตร์จาก เจดีย์ศรีบูรพา เจดีย์โบราณขนาดใหญ่ ซึ่งกรมศิลปากรตรวจพิสูจน์พบว่ามีอายุมากกว่า 300 ปี นอกจากนี้ยังมีเจดีย์บริวารอีก 4 องค์ และพระพุทธรูปปางสมาธิ 2 องค์ ลักษณะคล้ายพระพุทธรูปในศิลปะลังกา จากหลักฐานทางโบราณคดียังพบว่าเป็นที่ตั้งทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อรวบรวมฝึกปรือกำลังพลกลับไปตีพม่ากู้กรุงศรีอยุธยากลับคืน ซึ่งหากไปยืนบนลานที่ตั้งเจดีย์จะมองเห็นเมืองตราดกว้างสุดสายตาอีกด้วย

10
เช็ก! เรื่องต้องเข้าใจก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน

รีไฟแนนซ์บ้านเป็นวิธีขอลดดอกเบี้ย ลดภาระการผ่อนที่คนซื้อบ้านซื้อคอนโดทราบดีอยู่แล้วนะคะ แต่ว่าหากมีแผนจะรีไฟแนนซ์บ้านก็ไม่ใช่ว่าจะทำตอนไหนก็ได้นะคะ เช่น สัญญาส่วนใหญ่มักกำหนดว่ารีไฟแนนซ์บ้านได้เมื่อผ่อนชำระ 3 ปีขึ้นไป ทำก่อนจะมีค่าปรับ เป็นต้น ใครที่ผ่อนบ้านมานานแล้ว และอยากรีไฟแนนซ์บ้าน เพื่อลดดอกเบี้ย จะได้ตัดเงินต้นมากขึ้น วันนี้ไปเช็กเบื้องต้นกันทีละข้อแบบง่ายๆ ค่ะ ว่าหากคิดรีไฟแนนซ์บ้าน จะเริ่มยังไงดี

✅ 1. รีไฟแนนซ์บ้านทำได้ทุก 3 ปี แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องทำทุกๆ 3 ปี
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า รีไฟแนนซ์สามารถทำได้เมื่อผ่อนชำระตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปนะคะ อย่าลืมดูจังหวะดอกเบี้ยว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขา และความเหมาะสมอื่นๆ ประกอบด้วยนะคะ แต่หากต้องการรีไฟแนนซ์ก่อนสัญญาที่กำหนด ต้องเสียค่าปรับประมาณ 3% ของยอดหนี้คงเหลือ

 ✅ 2. เช็กยอดคงเหลือว่ารีไฟแนนซ์บ้านได้หรือไม่
ส่วนใหญ่แล้วหากยอดคงเหลือมากกว่า 1 ล้านบาท ก็แนะนำให้รีไฟแนนซ์บ้านนะคะ แต่ถ้าหากยอดเหลือน้อยแล้ว ลองขอลดดอกเบี้ยจากธนาคารเดิมน่าจะช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมเอกสาร

 ✅ 3. รีไฟแนนซ์บ้านไม่ได้ทำให้ดอกเบี้ยหายไป
รีไฟแนนซ์คือการกู้สินเชื่อใหม่ ในอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกลง เพื่อช่วยลดภาระในระยะยาว

 ✅ 4. รีไฟแนนซ์บ้านไม่ใช่การพักชำระหนี้
หลังจากรีไฟแนนซ์บ้าน ก็ยังผ่อนชำระตามปกตินะคะ และต้องผ่อนชำระคืนให้ตรงตามเวลาเหมือนเดิม

 ✅ 5. ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้าน
อย่างที่ทราบกันนะคะว่ารีไฟแนนซ์บ้านคือการขอสินเชื่อใหม่ กับสถาบันการเงินแห่งใหม่ ดังนั้นก็จะมีค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ต้องเสีย เช่น ค่าประเมินราคาสินทรัพย์, ค่าจดจำนอง ค่าภาษี, ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น

 สรุปแล้ว ก่อนรีไฟแนนซ์บ้านต้องหาข้อมูลต่างๆ ให้ดีนะคะ ไม่ใช่แค่เรื่องดอกเบี้ย แต่การรีไฟแนนซ์ยังมีเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่น้อยเลย สำหรับใครที่ไม่อยากวุ่นวายเรื่องเอกสารก็สามารถใช้วิธีขอลดดอกเบี้ยจากธนาคารเดิม หรือ รีเทนชั่น ได้เช่นกันค่ะ แต่อัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ได้รับอาจไม่ถูกลงมากเหมือนกับรีไฟแนนซ์ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ความสะดวกของตัวผู้กู้อย่างเรานะคะ

11
Doctor At Home: ท่อน้ำตาอุดตัน (Nasolacrimal duct obstruction) - ถุงน้ำตาอักเสบ (Dacryocystitis)

ท่อน้ำตาเป็นส่วนหนึ่งของระบบน้ำตา* บางครั้งอาจมีเหตุทำให้ท่อน้ำตาอุดตัน มีน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา

ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเรา พบมากในทารก และผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

มักเป็นที่ตาเพียงข้างเดียว แต่ก็อาจเป็นทั้ง 2 ข้างก็ได้

เมื่อท่อน้ำตาอุดตันนาน ๆ ก็จะมีเชื้อโรคเข้าไป เกิดการติดเชื้อในถุงน้ำตา กลายเป็น ถุงน้ำตาอักเสบ

*ระบบน้ำตา (lacrimal system) ประกอบด้วยต่อมน้ำตา (lacrimal gland) ที่อยู่ใต้เปลือกตาบน ทำหน้าที่ผลิตน้ำตาออกมาหล่อลื่นและทำความสะอาดผิวหน้าของตา (ได้แก่ เยื่อบุตาและกระจกตา) น้ำตาที่ออกมาที่ตามีการไหลเวียน เปิดโอกาสให้มีน้ำตาใหม่เข้ามาแทนที่น้ำตาเก่า  โดยน้ำตาเก่าจะไหลลงรูเปิดของทางเดินน้ำตา (lacrimal punctum ซึ่งเป็นรูเล็ก ๆ เปิดอยู่ที่ขอบเปลือกตาบนและล่างตรงมุมหัวตา) ผ่านคลองน้ำตา (lacrimal canal) ลงมาที่ถุงน้ำตา (lacrimal sac ซึ่งอยู่ตรงหัวตาข้างสันจมูก) และท่อน้ำตา (nasolacrimal duct ซึ่งทอดลงมาตามผนังด้านข้างของจมูก) ในที่สุดน้ำตาก็จะระบายลงโพรงจมูกด้านล่าง (Inferior nasal meatus)


สาเหตุ

ท่อน้ำตาอุดตัน ในทารกอาจเกิดจากท่อน้ำตายังเปิดไม่ค่อยสมบูรณ์ หรือเกิดจากมีเยื่อเมือกและเซลล์ที่อยู่ในน้ำคร่ำขณะที่อยู่ในครรภ์มารดาเข้าไปอุดตันอยู่ภายในท่อน้ำตา หรือเกิดจากเยื่อตาขาวอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียขณะคลอด ทำให้มีขี้ตาลงไปอุด

ในผู้ใหญ่ การอุดกั้นของท่อน้ำตาอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น รูเปิดของท่อน้ำตาตีบแคบลงจากความเสื่อมตามอายุขัยที่มากขึ้น, การได้รับบาดเจ็บตรงกระดูกข้างจมูก, เยื่อตาขาวอักเสบเรื้อรัง, ไซนัสอักเสบเรื้อรัง, ติ่งเนื้อเมือกจมูก (nasal polyps), สิ่งแปลกปลอมในท่อน้ำตา, เนื้องอกหรือมะเร็งในบริเวณจมูก, การผ่าตัดตา จมูกหรือไซนัส,  การใช้ยาหยอดตารักษาโรคต้อหิน, การได้รับรังสีบำบัดบริเวณศีรษะหรือใบหน้าเป็นต้น บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

ถุงน้ำตาอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น สแตฟีโลค็อกคัส, สเตรปโตค็อกคัส, ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากท่อน้ำตาอุดตันนาน ๆ


อาการ

ท่อน้ำตาอุดตัน มีอาการน้ำตาไหลมาก จนเอ่อคลอเบ้าตาข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เกี่ยวกับการร้องไห้ หรือมีเรื่องเศร้าโศกเสียใจ ต้องคอยเช็ดน้ำตาบ่อย ๆ

ในทารกจะสังเกตว่ามีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นมาตั้งแต่เกิด และบางครั้งมีขี้ตาออกมาเป็นครั้งคราว

ถุงน้ำตาอักเสบ ในรายที่เป็นชนิดเฉียบพลัน จะมีไข้ มีตุ่มนูนตรงหัวตา เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา แล้วตุ่มนูนก็ยุบลง แต่ต่อมาก็กลับนูนขึ้นเช่นเดิมอีก ถ้าเป็นรุนแรงตุ่มนูนนั้นจะมีอาการปวดแดงร้อนคล้ายฝี ซึ่งอาจแตก มีน้ำตาและหนองไหลออกมา


ภาวะแทรกซ้อน

ท่อน้ำตาอุดตัน ทำให้มีน้ำตาค้างและหมักหมมอยู่ที่ระบบน้ำตา กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค อาจทำให้เกิดเยื่อตาอักเสบ และถุงน้ำตาอักเสบ

ถุงน้ำตาอักเสบ หากได้รับการรักษา มักไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก อาจกลายเป็นถุงน้ำตาอักเสบเรื้อรัง (จะมีอาการน้ำตาและหนองไหลออกมาเรื้อรัง โดยไม่มีไข้ และไม่พบตุ่มนูนชัดเจน)

ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงอายู) และในทารกที่เป็นถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน (congenital acute dacryocystitis) อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อโรคลุกลามเข้าไปที่ตา ทำให้เยื่อตาขาวอักเสบ แผลกระจกตา เบ้าตาอักเสบ (orbital cellulitis ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้) นอกจากนี้ เชื้ออาจเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดฝีในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โลหิตเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่ร้ายแรง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจเพิ่มเติมดังนี้

สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน การใช้นิ้วกดตรงหัวตาข้างสันจมูก จะพบว่ามีน้ำตาที่เป็นเมือกทะลักออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา

  บางรายแพทย์จะใช้วิธีการหยอดน้ำสีเหลืองส้ม (ซึ่งเป็นสีเรืองแสง - fluorescein dye ที่ใช้ในการตรวจตา ไม่มีอันตราย) หยอดลงไปในตา ถ้าสีเหลืองระบายหายไปใน 2-3 นาที แสดงว่าท่อน้ำตาไม่มีการอุดตัน แต่ถ้าสีเหลืองยังคงค้างอยู่ที่ตา ก็บ่งชี้ว่าท่อน้ำตาข้างนั้นน่าจะมีการอุดตัน (วิธีนี้เรียกว่า "Dye disappearance test")

ในผู้ใหญ่บางราย แพทย์อาจทดสอบโดยการใช้เข็มเล็ก (ปลายตัดไม่คม) แยงลงไปทางรูเปิดของท่อน้ำตา แล้วใช้น้ำเกลือฉีดลงไป ถ้าผู้ป่วยรู้สึกถึงน้ำเกลือเค็ม ๆ ไหลลงคอ แสดงว่าท่อน้ำตาเป็นปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยมีท่อน้ำตาอุดตัน น้ำตาจะไหลเอ่อล้นกลับออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจทำการถ่ายภาพระบบทางเดินน้ำตาด้วยเอกซเรย์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดยการฉีดสารทึบแสง เพื่อตรวจดูตำแหน่งที่อุดตัน

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน จะตรวจพบตุ่มนูน ปวด แดง ร้อนที่หัวตา และอาจตรวจพบว่ามีไข้ร่วมด้วย เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา บางรายแพทย์อาจนำหนองไปตรวจหาเชื้อ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

สำหรับเด็กเล็กที่เป็นโรคท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์มักจะแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการ (ซึ่งในทารกมักจะหายได้เองเมื่อท่อน้ำตาเจริญเต็มที่เมื่ออายุได้ 2-3 เดือน) หรือแนะนำให้พ่อแม่ทำการนวดบริเวณหัวตา (ตรงตำแหน่งของท่อน้ำตาที่อุดตัน) ซึ่งจะช่วยดันให้แผ่นพังผืดบาง ๆ ที่ขวางลิ้นเปิดปิดในท่อน้ำตาเปิดออก ประมาณร้อยละ 70-90 จะหายเป็นปกติได้เองภายใน 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง

  ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ โดยตรวจพบมีขี้ตาเหลือง ๆ เขียว ๆ แพทย์จะให้ยาป้ายตาหรือยาหยอดตาที่มีตัวยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

นอกจากนี้ แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการถ่างท่อน้ำตาด้วยการใช้อุปกรณ์แยงท่อน้ำตา หรือใส่ท่อที่มีบัลลูนตอนปลายแยงเข้าท่อน้ำตาแล้วเป่าบัลลูนให้ท่อน้ำตาขยาย หรือการใส่ท่อเล็ก ๆ (ที่ทำด้วยซิลิโคนหรือโพลิยูลีเทน) คาไว้ในท่อน้ำตานาน 3 เดือน เพื่อถ่างให้ท่อน้ำตาขยาย

หากไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่ (dacryocystorhinostomy)

สำหรับผู้ใหญ่ที่มีท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์จะรักษาด้วยการล้างท่อน้ำตา หากไม่ได้ผลก็จะทำการถ่างท่อน้ำตาด้วยเทคนิคต่าง ๆ หากไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่

และถ้าพบว่ามีสาเหตุชัดเจน ก็ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น รักษาโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไป

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ (ตุ่มฝีขึ้นที่หัวตา) ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ ให้ยาแก้ปวดและยาป้ายตาหรือยาหยอดตาปฏิชีวนะ ถ้าอักเสบรุนแรงให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน) สัก 5-7 วัน ถ้าไม่ยุบหรือกลับเป็นซ้ำอีก แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ และทำการแก้ไขภาวะท่อน้ำตาอุดตัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง มีอาการน้ำเอ่อคลอเบ้าตา มีตุ่มนูนตรงหัวตาซึ่งเมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นท่อน้ำตาอุดตัน หรือถุงน้ำตาอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีน้ำตาไหลมากขึ้น มีไข้สูง ถุงน้ำตาอักเสบบวมแดงมากขึ้น หรือเยื่อตาขาวอักเสบ (ตาแดง ตาแฉะ)
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก

ส่วนในผู้ใหญ่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดท่อน้ำตาอุดตันลงได้ ด้วยการป้องกันโรคเยื่อตาขาวอักเสบ (หมั่นล้างมือให้สะอาด อย่าเผลอขยี้ตา เป็นต้น) และรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ ไซนัสอักเสบ ติ่งเนื้อเมือกจมูก เป็นต้น)

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ สามารถป้องกันด้วยการรักษาท่อน้ำตาอุดตันให้หายขาด


ข้อแนะนำ

ผู้ที่มีน้ำตาไหลผิดปกติ นอกจากท่อน้ำตาอุดตันแล้วยังอาจเกิดจากขนตาเก* ควรซักถามอาการ และตรวจดูให้แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไร ก็ควรแนะนำผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์ทุกราย

 *ขนตาเก (trichiasis) ซึ่งหมายถึงอาการขนตาแยงเข้าด้านในนั้น ยังอาจเกิดจากการติดเชื้องูสวัด กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน การถูกสารเคมีหรือความร้อนที่เปลือกตา การบาดเจ็บ หรือการผ่าตัดเปลือกตา ควรแก้ไขด้วยการถอนขนตา หรือใช้ไฟฟ้าหรือความเย็นจี้ หรือฉายรังสี

12
รู้จักกับฉนวน Nano Aerogel ฉนวนกันความร้อน

ฉนวนนาโนแอโรเจล เป็นวัสดุฉนวนขั้นสูงที่ผลิตจากแอโรเจลซึ่งมีโครงสร้างระดับนาโน ซึ่งถูกค้นพบและใช้งานแพร่หลายตั้งแต่ยุค 1990 แอโรเจลเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบามาก ได้มาจากเจลโดยที่ของเหลวภายในถูกแทนที่ด้วยก๊าซ CO2 ส่งผลให้เกิดวัสดุที่เป็นของแข็งซึ่งมีน้ำหนักเบามากและมีรูพรุนสูง นาโนแอโรเจลมีลักษณะเด่นคือมีรูพรุนและโครงสร้างในระดับเล็กมากขนาดนาโน ทำให้เป็นวัสดุฉนวนที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นนวัตกรรมของฉนวนที่มีประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนที่ไม่เหมือนฉนวนทั่วไป มีน้ำหนักเบา และมีความหลากหลาย และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานที่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับความหนาหรือน้ำหนักของฉนวนกันความร้อน ในช่วงอุณหภูมิ -200 องศาเซลเซียส ถึง 1000 องศาเซลเซียส เช่น ในอุตสาหกรรมการบิน ภาคอุตสาหกรรม และฉนวนอาคารที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเน้นเรื่องความคุ้มค่าและการประหยัดพื้นที่มากที่สุด

คุณสมบัติสำคัญของฉนวนนาโนแอโรเจล

1. มีค่าการนำความร้อนต่ำมาก (Lowest Thermal Conductivity)

    แอโรเจลเป็นวัสดุที่มีค่าการนำความร้อนต่ำที่สุดวัสดุหนึ่ง โดยมีค่าได้ต่ำสุดถึง01 W/m·K จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้เป็นฉนวนกันความร้อนที่เน้นเรื่องการลดอุณหภูมิ
    โครงสร้างรูพรุนระดับนาโนจะดักจับอากาศ ช่วยลดการถ่ายเทความร้อนผ่านการพาความร้อนและการนำความร้อน จึงเป็นฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนนี้


2. น้ำหนักเบา (Light Weight)

    แอโรเจลประกอบด้วยอากาศมากถึง8% ของปริมาตรรวม ทำให้เป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาที่สุดเมื่อเทียบกับฉนวนแบบทั่วไป


3. มีพื้นที่ผิวสูง (Nano Porosity)

    โครงสร้างระดับนาโนให้พื้นที่ผิวมาก จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเป็นฉนวนทั้งเรื่องของความร้อนและเสียง


4. มีคุณสมบัติไม่อมน้ำ (Hydrophobicity)

    นาโนแอโรเจลสามารถทำให้มีคุณสมบัติไม่อมน้ำ (ป้องกันน้ำซึม) ช่วยให้ทนทานต่อความชื้นและเหมาะกับการใช้งานเพื่อแก้ปัญหา CUI (Corrosion Under Insulation of Steel)


5. ทนไฟ (Flame Retardant)

    แอโรเจลไม่ลามไฟ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานป้องกันไฟและเป็นฉนวนในสภาวะที่มีความเสี่ยงสูง


6. ความทนทานและความยืดหยุ่น (Flexibility and Durability)

    วัสดุฉนวนนาโนแอโรเจลสมัยใหม่สามารถเสริมความแข็งแรงด้วยเส้นใยเพื่อเพิ่มความทนทานและความยืดหยุ่น ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนาน คุ้มค่าแก่การลงทุน


การประยุกต์ใช้งานของฉนวนนาโนแอโรเจล

1. ฉนวนกันความร้อนสำหรับอาคาร

    ใช้ในผนัง หน้าต่าง และหลังคา เพื่อให้การป้องกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งช่วยประหยัดพื้นที่


2. อุตสาหกรรมการบินและยานยนต์

    ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในยานอวกาศ เครื่องบิน รถยนต์สันดาป และรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องการฉนวนที่มีความบางแต่กันความร้อนได้ยอดเยี่ยม น้ำหนักเบา และมีประสิทธิภาพสูง


3. อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ

    ใช้เป็นฉนวนสำหรับท่อ ถังเก็บ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในสภาวะอากาศที่รุนแรง


4. เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์สวมใส่

    พบได้ในเสื้อผ้าฤดูหนาว ถุงมือ และรองเท้าบูท เพื่อให้การป้องกันความร้อนโดยไม่เพิ่มน้ำหนักหรือความหนา


5.  อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    ปกป้องชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ละเอียดอ่อนจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความเสียหายจากความร้อน


6. เทคโนโลยีการแช่แข็ง (Cryogenics)

    ใช้เป็นฉนวนในระบบจัดเก็บแบบแช่เย็นจัดและการขนส่งสินค้าที่ต้องรักษาความเย็น


ข้อดีเมื่อเทียบกับฉนวนแบบดั้งเดิม

    ประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนที่เหนือกว่า (ประสิทธิภาพสูงกว่าถึง 10 เท่า)
    มีน้ำหนักเบา และประหยัดพื้นที่
    ทนทานต่อความชื้นและมีอายุการใช้งานยาวนาน
    ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง (เช่น อุณหภูมิร้อนหรือเย็นจัด)
    Service Cost ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับอายุการใช้งานในระยะยาว

13
ซ่อมบำรุงอาคาร: แอร์ไม่เย็น มีแต่ลม แก้ไขอย่างไร

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้ หลายคนต้องอยู่บ้านเวิร์คฟอร์มโฮม ทำให้ต้องอยู่บ้านนานมากขึ้นและแน่นอนว่าบ้านไหนที่มีเครื่องปรับอากาศจะต้องถูกใช้งานบ่อยมากขึ้นด้วย ทำให้ค่าไฟพุ่งสูง ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการทำงานอยู่ที่บ้านนั้น ส่งผลทำให้เราต้องใช้งานเครื่องปรับอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวในแต่ละวัน ทำให้เครื่องปรับอากาศมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก หลายบ้านที่มีเครื่องปรับอากาศใช้ก็ต้องหนักใจกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้าหรือค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของเรา เพราะการทำความสะอาด แอร์ในบ้านของเรานั้นมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือนเพื่อให้แอร์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยังดีต่อสุขภาพของคนภายในบ้านด้วย

แต่ในขณะเดียวกันการใช้เครื่องปรับอากาศบ่อยๆ ก็อาจจะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศ เชื่อว่าหลายคนคงเคยพบเจอกับปัญหาแอร์ไม่เย็นและมีแต่ลมออกมา ทำให้รู้สึกหงุดหงิดและเสียค่าใช้จ่ายไปแบบเปล่าประโยชน์ เพราะบางคนแม้ว่าแอร์ไม่เย็นก็ยังฝืนเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งการกระทำแบบนี้จะทำให้แอร์ของเราเสื่อมสภาพหรือมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกติและต้องมาเสียค่าใช้จ่ายอีกหลายพันบาทเลยทีเดียว ดังนั้น วันนี้ทางเราจะมาพูดถึงการแก้ไขปัญหาแอร์ไม่เย็นมีแต่ลมออกมา ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของแอร์ในบ้านของเรา ที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน หากฝืนใช้ต่อไปแน่นอนว่าจะทำให้แอร์ของคุณพังอย่างแน่นอน

ปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่แอร์เก่าเท่านั้น บางครั้งแอร์ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาติดตั้งแล้วใช้งานไปได้สักระยะหนึ่ง ลมที่ออกมาก็ไม่เย็นฉ่ำได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ควรรีบตรวจสอบ และแก้ไขทันที ในเบื้องต้นเราสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองด้วยวิธีง่าย ๆ คือ การปรับโหมดการทำงานให้ถูกต้อง วิธีนี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด และทุกบ้านสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองว่าขณะที่เปิดใช้งานแอร์นั้น เลือกใช้โหมดการทำงานอยู่ในโหมดใด

เพราะบางครั้งการตั้งค่าโหมดการทำงานของแอร์ที่ไม่ถูกต้อง ก็ส่งผลให้เกิดปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม และ แอร์ไม่ตัด ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานของแอร์ผ่านรีโมทคอนโทรล และหนึ่งในสาเหตุของปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม นอกเหนือจาก น้ำยาแอร์ขาด และคอมเพรสเซอร์เสีย ก็คือ แคป ซึ่งเป็นตัวเก็บประจุ เกิดความเสียหาย ลองสังเกตง่าย ๆ ว่าแคปรัน ระเบิด เสียหายหรือไม่นั่น คือ หากจับที่ตัวแคปรันแล้วมีคราบน้ำมัน หรือรู้สึกมัน ๆ ก็ให้แน่ใจได้เลยว่าเป็นเพราะแคปเกิดการเสียหาย และสาเหตุสุดท้ายคือ การไม่ล้างทำความสะอาดแอร์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้แอร์เกิดความเสียหาย

โดยเฉพาะแอร์ไม่เย็นมีแต่ลมร้อน การปล่อยให้แอร์มีคราบฝุ่นเกาะฝังแน่นสะสมในปริมาณมากทั้งภายในตัวเครื่อง และตัวคอมเพรสเซอร์ โดยที่ไม่ได้ล้างแอร์เป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้ระบบทำความเย็นของแอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แถมลมแอร์ที่ออกมายังไม่บริสุทธิ์ ส่งผลเสียต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว โดยเราควรที่จะตรวจสอบคราบฝุ่นละอองสะสม โดยการถอดหน้ากากแอร์ออก แล้วดูที่แผงฟิลเตอร์ หรือแผ่นกรองอากาศบริเวณด้านหน้าก็จะเห็นคราบฝุ่น และความสกปรกที่เกาะอยู่ สามารถนำแอร์ฟิลเตอร์ไปล้าง ด้วยน้ำสะอาด และใช้แปรงถูเบา ๆ เพื่อขจัดคราบฝุ่นให้หลุดออกไป แล้วตากให้แห้ง ก็จะช่วยลดฝุ่นละอองได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ก็ควรหมั่นล้างแอร์ตามระยะเวลา เพื่อให้มีความสะอาด ยืดอายุการใช้งานของแอร์และดีต่อสุขภาพของคนในบ้านด้วย

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์โดยช่างที่มีความเชี่ยวชาญ  สามารถขอรายละเอียดได้จากทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก  เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย

14
พาลูกน้อยเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์จัดฟันเด็ก ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น ถือว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรที่จะละเลยในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของฟันของลูกน้อย เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี นอกจากนี้ พ่อแม่ควรที่จะปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง รวมไปถึง แนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากและฟันด้วย เพราะเด็กส่วนใหญ่ชื่นชอบการรับประทานอาหารที่มีความหวานหรือแม้กระทั่ง ขนมลูกอมต่างๆ รวมไปถึง น้ำอัดลม ซึ่งต้องบอกว่าอาหารเหล่านี้ เป็นศัตรูกับฟันของเราเลยทีเดียว


เพราะเนื่องจากมีน้ำตาลผสมเป็นจำนวนมากและน้ำตาลนั้น จะส่งผลทำให้เกิดคราบหินปูนและทำให้ฟันของเด็กผุได้ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสอดส่องดูแลและช่วยสังเกตพฤติกรรมของเด็กว่ามีความผิดปกติอะไรบ้าง เพราะไม่ฉะนั้น หากปล่อยประละเลยเด็กอาจจะมีฟันผุก่อนวัยอันควรได้ ผู้ปกครอง ไม่ควรมองว่าฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่มีประโยชน์และไม่มีความจำเป็นหรือคิดว่าต่อไปอาจจะมีฟันแท้งอกขึ้นมาแทนที่ จึงปล่อยประละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก แต่หารู้ไม่ว่าฟันน้ำนมนั้นส่งผลกระทบต่อการขึ้นของฟันแท้ ยิ่งถ้าหากฟันน้ำนมหลุดก่อนเวลาอันควรก็อาจจะทำให้ฟันแท้ขึ้นมาอย่างผิดปกติได้ อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟันและต้องเข้ารับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็ก

สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้าตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ตั้งแต่ 4-15 ปี เพราะเด็กในช่วงนี้กำลังมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าตอนวัยรุ่น ยิ่งเด็กที่มีพฤติกรรมการดูดขวดนม ดูดนิ้วซึ่ง จะทำให้เกิดปัญหาฟันได้ง่าย ควรที่จะเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กนั้นถือว่าเป็นนวัตกรรมที่มีการพัฒนาไปมากกว่าแต่ก่อน จึงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากจะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร วันนี้คลินิกของเรามีคำตอบมาฝาก แล้วจะพูดถึงการเตรียมตัวพาลูกน้อยเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน


สำหรับการเตรียมตัวที่จะเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพูดและทำความเข้าใจกับเด็ก เพื่อให้เด็กได้ทราบว่าปัญหาฟันส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กได้ตระหนักรู้ และเห็นความสำคัญของสุขภาพช่องปากและฟันสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองพูดและสร้างความเข้าใจให้กับเด็กแล้วก็สามารถพาเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันได้ ซึ่งในขณะที่เด็กเข้าพบทันตแพทย์ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเข้าพูดคุยร่วมกับทันตแพทย์ได้เพื่อตัดสินใจและเพื่อทราบปัญหาที่แท้จริงของเด็กว่า เด็กมีปัญหาฟันในเรื่องใดและทันตแพทย์จะทำการแก้ไขด้วยวิธีใด เพื่อให้ทราบและจะได้สร้างความเข้าใจให้กับเด็กก่อนว่า ทำไมเด็กจะต้องเข้ารับการจัดฟันเพื่อที่จะได้ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้ถูกต้องตามที่ทันตแพทย์แนะนำ

สำหรับ พ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็กและมีประสบการณ์ด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนานจึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องและสามารถแนะนำให้เข้ารับการรักษาให้เข้ากับปัญหาฟันของเด็ก นอกจากนี้ทันตแพทย์ของเรายินดีให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้ดูแลรักษาความสะอาดฟันได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากเห็นเด็กๆทุกคน มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

15
หมอออนไลน์: แผลเพ็ปติก (Peptic ulcer)

แผลเพ็ปติก* หมายถึง แผลที่เกิดบนเยื่อบุกระเพาะอาหาร (stomach) ซึ่งเรียกว่า โรคแผลกระเพาะอาหาร หรือแผลจียู (gastric ulcer/GU) หรือแผลที่เยื่อบุลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) ซึ่งเรียกว่า โรคแผลลำไส้เล็กส่วนต้น หรือแผลดียู (duodenal ulcer/DU)

แผลเพ็ปติกเป็นโรคที่พบได้บ่อย ประมาณร้อยละ10-20 ของคนทั่วไปจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต

แผลลำไส้เล็กส่วนต้น (ดียู) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2-4 เท่า และพบมากในช่วงอายุประมาณ 30-55 ปี ขณะที่แผลกระเพาะอาหารพบในผู้ชายพอ ๆ กับผู้หญิง และพบในช่วงอายุประมาณ 55-70 ปี แต่ทั้ง 2 โรคนี้ก็สามารถพบได้ในคนทุกวัย

*เดิมนิยมเรียกว่า โรคกระเพาะ โดยวินิจฉัยจากอาการแสดง คือ ปวดท้องตรงยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ที่เกิดก่อนหรือหลังอาหาร (หิวแสบ-อิ่มจุก) เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันพบว่าอาการดังกล่าวอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่จำเพาะว่าเกิดจากแผลเพ็ปติกเสมอไป ต้องอาศัยการตรวจโดยการใช้กล้องส่อง หรือเอกซเรย์โดยการกลืนแป้งแบเรียม จึงจะแยกสาเหตุได้ชัดเจน ดังนั้น คำว่า "โรคกระเพาะ" จึงมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า "อาหารไม่ย่อย" ในที่นี้จึงขอใช้คำว่า "แผลเพ็ปติก" ในการเรียกชื่อโรคแผลกระเพาะอาหาร และแผลลำไส้เล็กส่วนต้น

สาเหตุ

แผลเพ็ปติก เกิดจากความเสียสมดุลระหว่างปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหาร กับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้  ถ้าหากมีการหลั่งกรดมากเกิน หรือความต้านทานต่อกรดลดลงก็ทำให้เกิดแผลเพ็ปติกขึ้นได้ ในปัจจุบันพบว่าสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลเพ็ปติกได้แก่

1. การติดเชื้อเอชไพโลโร (H.pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมลบ เชื้อนี้สามารถติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ แล้วเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ในระยะแรกอาจทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบ ซึ่งจะเป็นเรื้อรังนานเป็นแรมปีหรือนับเป็นสิบ ๆ ปี ต่อมาทำให้กลายเป็นแผลลำไส้เล็กส่วนต้น (พบเชื้อนี้ในผู้ที่เป็นแผลชนิดนี้ถึงร้อยละ 95-100) หรือแผลกระเพาะอาหาร (พบเชื้อนี้ในผู้ที่เป็นแผลชนิดนี้ถึงร้อยละ 75-85)

ในการติดตามผลการรักษาผู้ป่วยแผลเพ็ปติกด้วยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ พบว่า การรักษาโรคแผลเพ็ปติกโดยวิธีดั้งเดิม (ให้ยาลดกรดและยาลดการสร้างกรด) นั้น ผู้ป่วยจะมีแผลกำเริบถึงร้อยละ 70-85 ใน 1 ปี แต่ในกลุ่มที่ได้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้อเอชไพโลไรตามวิธีการรักษาแนวใหม่จะมีแผลกำเริบน้อยกว่าร้อยละ 5 ใน 1 ปี ดังนั้น ในวงการแพทย์ปัจจุบันจึงยอมรับว่า เชื้อนี้เป็นตัวการสำคัญของโรคแผลเพ็ปติกถึงแม้จะยังไม่มีความชัดเจนในกลไกของการทำให้เกิดแผลเพ็ปติกจากเชื้อนี้ก็ตาม บ้างสันนิษฐานว่าเชื้อชนิดนี้ทำให้กลไกในการต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารลดลง

2. การใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ได้แก่ แอสไพริน และกลุ่มยาแก้ปวดข้อ (เช่น อินโดเมทาซิน ไอบูโพรเฟน นาโพรเซน เป็นต้น) พบว่าผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้เป็นประจำจะมีโอกาสเป็นแผลกระเพาะอาหารร้อยละ 10-30 และแผลลำไส้เล็กส่วนต้นร้อยละ 2-20 และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน (เช่น เลือดออก แผลทะลุ) มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยากลุ่มนี้ถึง 3 เท่า ประมาณร้อยละ 1-2 ของผู้ใช้ยากลุ่มนี้เป็นประจำจะเกิดภาวะแทรกซ้อนภายใน 1 ปี ทั้งนี้เพราะยากลุ่มนี้ทำลายกลไกในการต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ (โดยการยับยั้งไม่ให้กระเพาะหลั่งเมือกออกมาปกคลุมเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้) นอกจากนี้ ยากลุ่มนี้บางตัวยังมีฤทธิ์เป็นกรดซึ่งระคายต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้โดยตรง

กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดแผลเพ็ปติกจากยากลุ่มนี้ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ในขนาดสูง ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้นาน ๆ ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกับสเตียรอยด์ ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเพ็ปติกมาก่อน ผู้ที่มีภาวะเจ็บป่วยรุนแรง

3. ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ บางอย่างอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคนี้ แต่บางอย่างอาจไม่มีความสัมพันธ์โดยตรง เช่น

    ประวัติการมีญาติพี่น้องเป็นแผลเพ็ปติก (อาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์) ทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้นเป็น 3 เท่า
    การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสของการเป็นแผลลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้การรักษาได้ผลช้า และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น
    ผู้ที่มีเลือดกลุ่มโออาจเสี่ยงต่อการเป็นแผลลำไส้เล็กส่วนต้นมากกว่าปกติ
    ความเครียดทางอารมณ์ ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าเป็นสาเหตุของการเกิดแผลเพ็ปติกโดยตรงแต่พบว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เป็นแผลกำเริบได้
    แผลลำไส้เล็กส่วนต้น ยังอาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperparathyroidism ซึ่งจะมีภาวะแคลเซียมสูง และแคลเซียมกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดมาก) กลุ่มอาการซอลลิงเกอร์-เอลลิสัน (Zollinger-Ellison syndrome ซึ่งเป็นเนื้องอกในตับอ่อนและลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้มีการหลั่งกรดและน้ำย่อยมากเกิน) ภาวะไตวายเรื้อรัง ตับแข็งจากพิษแอลกอฮอล์ ถุงลมปอดโป่งพอง เป็นต้น
    แอลกอฮอล์ (ซึ่งเป็นสาเหตุของกระเพาะอักเสบชนิดเยื่อบุกร่อน ทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร) สเตียรอยด์ และกาเฟอีน ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นสาเหตุของแผลเพ็ปติกโดยตรง แต่ก็อาจทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เป็นแผลกำเริบได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเหล่านี้ในผู้ป่วยแผลเพ็ปติก
    อาหารทุกชนิดไม่เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดแผลเพ็ปติก แต่ถ้ากินแล้วทำให้มีอาการกำเริบ (เช่น อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด น้ำส้ม น้ำผลไม้) ก็ควรจะหลีกเลี่ยง

อาการ

มักมีอาการปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังตรงบริเวณกลางยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ บางรายอาจค่อนมาทางขวาหรือซ้ายก็ได้ เวลาที่ปวดมักสัมพันธ์กับมื้ออาหาร เช่น ก่อนหรือหลังอาหาร ลักษณะการปวดอาจปวดแสบ ปวดตื้อ จุกเสียด หรือมีความรู้สึกหิวข้าวก่อนเวลาอาหาร บางครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเรอเปรี้ยวร่วมด้วย

ในผู้ป่วยที่มีแผลลำไส้เล็กส่วนต้น มักมีอาการปวดท้องหลังกินอาหารแล้วประมาณ 1-3 ชั่วโมง หรือขณะท้องว่าง โดยมากจะเริ่มปวดตอนสาย ๆ ในช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ จะปวดมากขึ้น และอาจปวดมากตอนดึก ๆ จนต้องตื่นนอนหรือนอนไม่หลับ

อาการปวดมักดีขึ้นทันทีหลังกินอาหาร ดื่มนม หรือกินยาต้านกรด หรือหลังอาเจียน ถ้าแผลลุกลามไปที่ตับอ่อนอาจทำให้มีอาการปวดหลังร่วมด้วย และไม่หายปวดท้องหลังกินอาหาร

ในผู้ป่วยที่มีแผลกระเพาะอาหาร มักมีอาการปวดท้องหลังอาหารประมาณ 1/2-1 ชั่วโมง บางรายอาจมีอาการเบื่ออาหาร (ไม่อยากกิน เพราะกลัวปวดท้อง) และน้ำหนักลด

อาการปวดท้องมักเป็นอยู่นานหลายสัปดาห์ แล้วอาจหายไปได้เอง แต่ก็มักมีอาการกำเริบภายใน 1-2 ปีเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ลักษณะอาการของผู้ป่วยแผลลำไส้เล็กส่วนต้นกับแผลกระเพาะอาหาร  บางครั้งก็อาจแยกจากกันได้ไม่ชัดเจน เช่น อาการปวดท้องตอนดึกก็อาจเกิดในผู้ป่วยแผลกระเพาะอาหารได้เช่นกัน

ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นแผลเพ็ปติกโดยไม่มีอาการแสดงก็ได้ เช่น พบว่ากลุ่มที่เป็นแผลจากยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์มีประมาณร้อยละ 50 ที่ไม่ปรากฏอาการหรือผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน (เช่น ถ่ายดำ) ก็อาจไม่มีอาการปวดท้องมาก่อนก็ได้


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ ที่พบบ่อยคือ ภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ผู้ป่วยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระดำ ส่วนมากเลือดจะออกไม่มากและหยุดได้เอง ส่วนน้อยอาจมีเลือดออกมากจนบางครั้งเกิดภาวะช็อก ถ้าเลือดออกเรื้อรังก็อาจเกิดภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็กได้

บางรายแผลอาจกินลึกจนเป็นรูทะลุ เรียกว่า แผลเพ็ปติกทะลุ ซึ่งอาจทำให้มีเยื่อบุช่องท้องอักเสบร่วมด้วยได้ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง และหน้าท้องแข็ง ควรได้รับการผ่าตัดแก้ไขโดยด่วน

บางรายอาจมีภาวะกระเพาะหรือลำไส้อุดกั้น มีอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง และท้องผูก

ในรายที่แผลกินลึกไปถึงตับอ่อนอาจทำให้มีอาการปวดหลัง หรือมีอาการของตับอ่อนอักเสบร่วมด้วย

ผู้ที่เป็นแผลกระเพาะอาหารเรื้อรังจากเชื้อเอชไพโลไรก็อาจมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ ส่วนการตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งผิดปกติ บางรายอาจรู้สึกกดเจ็บเล็กน้อยตรงบริเวณลิ้นปี่

ในรายที่มีเลือดออก (เช่น ถ่ายดำ) อาจตรวจพบอาการซีด

เนื่องจากไม่สามารถวินิจฉัยจากอาการแสดง แพทย์จำเป็นต้องวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ หรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้โดยการกลืนแป้งแบเรียม บางรายแพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม (เช่น การตรวจชิ้นเนื้อ การตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร เป็นต้น)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้ 

1. ถ้ามีอาการปวดกระเพาะครั้งแรกในคนอายุต่ำกว่า 40 ปี และสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี ไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าเป็นโรคแผลเพ็ปติกหรือไม่ แพทย์จะให้การรักษาเบื้องต้นแบบโรคกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อย โดยแนะนำการปฏิบัติตัว และให้ยาลดการสร้างกรดกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์ (เช่น โอเมพราโซล, แพนโทพราโซล, แลนโซพราโซล, ราบีพราโซล เป็นต้น)

ถ้ารู้สึกทุเลาหลังกินยาได้ 2-3 ครั้ง ควรกินต่อจนครบ 2 สัปดาห์ ถ้ารู้สึกหายดีควรกินยานานประมาณ 8 สัปดาห์

ถ้ากินยา 2-3 ครั้งแล้วยังไม่รู้สึกทุเลาแม้แต่น้อย หรือทุเลาแล้วแต่กินจนครบ 2 สัปดาห์แล้วรู้สึกไม่หายดี หรือกำเริบซ้ำหลังจากหยุดกินยาจนครบ 8 สัปดาห์แล้ว หรือ มีอาการเบื่ออาหาร กลืนลำบาก น้ำหนักลด ซีด ตาเหลือง ตับโต ม้ามโต คลำได้ก้อนในท้อง อาเจียนรุนแรง หรือสงสัยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรือนิ่วน้ำดี หรือพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและความรุนแรงของโรคแผลเพ็ปติก และโรคอื่นๆที่อาจมีอาการคล้ายแผลเพ็ปติก นอกจากการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้แล้ว อาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ ตามโรคที่สงสัย(เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ คลื่นหัวใจ เป็นต้น)

2. เมื่อตรวจพิเศษแล้วพบว่าเป็นแผลเพ็ปติก แพทย์มีแนวทางการรักษา ดังนี้

2.1 แผลเพ็ปติกที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไพโลไร (จำเป็นต้องอาศัยการใช้กล้องส่อง และตรวจพบเชื้อเอชไพโลไร) การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง รักษาแผลให้หายและกำจัดเชื้อเอชไพโลไรโดยให้ยาดังนี้

    ยาลดการสร้างกรดกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์ นาน 6-8 สัปดาห์ ร่วมกับ
    ยาปฏิชีวนะ 2-4 ชนิดร่วมกัน นาน 10-14 วัน เช่น เมโทรไนดาโซล คลาริโทรไมซิน (clarithromycin) อะม็อกซีซิลลิน เตตราไซคลีน บิสมัทซับซาลิไซเลต (bismuth subsalicylate)

2.2 แผลเพ็ปติกที่ไม่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไพโลไร เป็นแผลเพ็ปติกที่ตรวจไม่พบการอักเสบจากเชื้อเอชไพโลไร อาจมีสาเหตุจากการใช้ยาแอสไพริน หรือกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ให้การรักษาด้วยยาลดการสร้างกรดกลุ่มโปรตอนปั๊มป์ นาน 4 สัปดาห์ (สำหรับแผลลำไส้เล็กส่วนต้นที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน) หรือนาน 6-8 สัปดาห์ (สำหรับแผลกระเพาะอาหาร หรือแผลเพ็ปติกที่มีภาวะแทรกซ้อน)

2.3 ในรายที่เป็นแผลเพ็ปติกเรื้อรังหรือเคยมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น หรือผู้สูงอายุ หรือในรายที่ยังสูบบุหรี่ อาจจำเป็นต้องกินยาลดการสร้างกรดนาน 3-6 เดือนหรือเป็นปี และอาจต้องใช้กล้องส่องตรวจและตรวจชิ้นเนื้อซ้ำจนกว่าแผลจะหายดี

ถ้าแผลเรื้อรังไม่ยอมหาย  อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

3. ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ หน้ามืด เป็นลม ช็อก หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง อาเจียนรุนแรง หรือมีอาการท้องเกร็งแข็ง แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาตามภาวะที่พบ เช่น

    ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด แล้วทำการตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ถ้าตรวจพบว่ามีภาวะแผลเพ็ปติกทะลุ หรือกระเพาะหรือลำไส้ตีบตัน จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดแสบหรือจุกแน่นตรงใต้ลิ้นปี่ ก่อนหรือหลังอาหารนานเกิน 1 สัปดาห์  มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือมีประวัติเคยตรวจพบว่าเป็นโรคแผลเพ็ปติกมาก่อน หรือกินแอสไพริน หรือยาแก้ปวดข้อเป็นประจำ หรือพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ควรปรึกษาแพทย์ 

เมื่อตรวจพบว่าเป็นแผลเพ็ปติก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

3. ปฏิบัติตัว ดังนี้

    กินอาหารให้ตรงเวลาทุกมื้อ อย่าปล่อยให้หิว
    งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มกาเฟอีน น้ำอัดลม
    หลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาสเตียรอยด์
    อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด น้ำส้ม น้ำผลไม้ ถ้ากินแล้วมีอาการปวดท้องกำเริบ ควรงดจนกว่าจะหายดี
    ออกกำลังกายเป็นประจำ และหาวิธีผ่อนคลายความเครียด (ถ้าเครียด)

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดท้องมาก อาเจียน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ ซีด ตาเหลือง คลำได้ก้อนในท้อง กินยารักษา 1 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดสังเกตที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ (เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินหรือท้องผูก เป็นต้น)

การป้องกัน

ผู้ป่วยที่กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดแผลเพ็ปติก (เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่ต้องใช้ยานี้ในขนาดสูงหรือนาน ๆ หรือใช้ร่วมกับยาสเตียรอยด์ ผู้ที่เคยเป็นแผลเพ็ปติกมาก่อน เป็นต้น) แพทย์จะให้กินยาลดการสร้างกรดป้องกันควบคู่ด้วย

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรกินยาอย่างต่อเนื่องและพบแพทย์ตามนัด การกินยาไม่ต่อเนื่องอาจทำให้กลายเป็นแผลเรื้อรังและรักษายากหรือมีภาวะแทรกซ้อนได้

2. เนื่องจากโรคแผลเพ็ปติกอาจมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย (dyspepsia) ซึ่งมีสาเหตุได้หลากหลาย การวินิจฉัยโรคนี้ที่แน่ชัดจำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษ (เช่น ส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้)

3. มะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรก (ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีมากกว่าวัยที่ต่ำกว่า 40 ปี) อาจมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย (dyspepsia หรือ "โรคกระเพาะ") หรือแผลเพ็ปติก และอาการสามารถทุเลาด้วยยาต้านกรดและยาลดการสร้างกรด แต่ต่อมาเมื่อแผลมะเร็งลุกลามมากขึ้น การใช้ยาจะไม่ได้ผล และจะมีอาการน้ำหนักลด อาเจียน หรือถ่ายดำตามมาได้ ดังนั้น หากรักษา "โรคกระเพาะ" โดยวินิจฉัยจากอาการแสดง 2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น มีอาการกำเริบบ่อย หรือพบในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติเคยรักษาโรคแผลเพ็ปติกมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์ให้ทำการตรวจพิเศษ (เช่น ส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้) เพื่อแยกแยะสาเหตุให้แน่ชัด หากพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจะได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งได้ผลดีกว่าพบในระยะลุกลามแล้ว

16
motor show 2025: Mercedes-Benz ส่งแคมเปญ Elevate Your Ride มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษครอบคลุมทุกช่วงอายุรถยนต์ ถึง 30 เมษายน 2568

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เดินหน้ายกระดับบริการหลังการขาย เพื่อตอบแทนลูกค้าคนสำคัญให้ทุกการเดินทางราบรื่นและมั่นใจยิ่งขึ้น ผ่านแคมเปญ Elevate Your Ride เมื่อนำรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกรุ่น ทุกช่วงอายุของรถยนต์ (รวมรถ Van) มาเข้ารับบริการ ณ ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ และมียอดค่าใช้จ่ายผ่านศูนย์บริการฯ ตามที่กำหนด* ในช่วงระยะเวลาของแคมเปญ ระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 – 30 เมษายน 2568 โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิพิเศษ ดังนี้
 
เมื่อมียอดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป (ยอดรวมค่าอะไหล่และค่าแรงหลังหักส่วนลด ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เลือกรับสิทธิพิเศษ**อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
ส่วนลดพิเศษ 50 %  จานเบรก 1 คู่ (หน้าซ้าย-ขวา หรือ หลังซ้าย-ขวา) หรือ
รับฟรี! ผ้าเบรก 1 คู่ (หน้าซ้าย-ขวา หรือ หลังซ้าย-ขวา) หรือ
รับฟรี! ไส้กรองฝุ่นแอร์ เมื่อมีการเข้ารับบริการ Service A หรือ B เท่านั้น
**มูลค่าสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท
 
เมื่อมียอดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 40,000 บาทขึ้นไป (ยอดรวมค่าอะไหล่และค่าแรงหลังหักส่วนลด ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เลือกรับสิทธิพิเศษ***อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
รับฟรี! ผ้าเบรก 1 คู่ และ จานเบรก 1 คู่ (หน้าซ้าย-ขวา หรือ หลังซ้าย-ขวา) หรือ
รับฟรี! ผ้าเบรก 2 คู่ (หน้าซ้าย-ขวา และ หลังซ้าย-ขวา)
***มูลค่าสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท

*เงื่อนไขและข้อกำหนดเพิ่มเติม ดังนี้
สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่เข้ารับบริการ ณ ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 – 30 เมษายน 2568 และชำระค่าใช้จ่ายภายในระยะเวลาที่กำหนด
ยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 20,000 บาท และ 40,000 บาท (มูลค่าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม) คำนวณเฉพาะค่าสินค้าและบริการตามประเภทที่กำหนด รวมค่าอะไหล่และค่าแรงหลังหักส่วนลดใดๆ (ถ้ามี)
ยอดค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการฯ ตามเงื่อนไข สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการ ดังนี้
ลูกค้าที่เข้ารับบริการประเภท งานเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รวมถึงงานซ่อมทั่วไป เฉพาะรายการที่ลูกค้าเป็นผู้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการเท่านั้น
ลูกค้าที่ซื้อสินค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์คอลเลคชัน/สินค้าประดับยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์
(MB Collection and Accessories)
ลูกค้าที่เปลี่ยนยาง MB Tires

*หมายเหตุ: ไม่รวมการเข้ารับบริการตามการรับประกัน (Warranty) ปกติ, ไม่รวมยอดใช้จ่ายในการซื้อแพ็กเกจ MBSP และบริการเสริม Digital Extras, งาน Internal , งานบริการหรืองานซ่อมสำหรับรถยนต์ประเภทฟลีท (Fleet) ,รถยนต์ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ หรืองานเคลมประกันภัย และไม่รวมงานซ่อมสีและตัวถัง
ในกรณีที่มูลค่าอะไหล่ที่ได้รับมีมูลค่ามากกว่าสิทธิพิเศษสูงสุดที่กำหนดไว้  (10,000 และ 25,000 บาท ตามเงื่อนไขฯ) ลูกค้าจะเป็นผู้ชำระค่าเงินค่าอะไหล่ส่วนต่าง
สิทธิพิเศษเฉพาะอะไหล่ ไม่รวมค่าแรง ทั้งนี้ ลูกค้าเป็นผู้ชำระค่าแรงในการเปลี่ยนอะไหล่ที่ได้รับ
กรณีลูกค้าประสงค์จะเลือกสิทธิพิเศษรับฟรีผ้าเบรกหรือจานเบรก รถยนต์ที่เข้ารับบริการจะต้องมีเงื่อนไข ดังนี้
รถยนต์แสดงสัญลักษณ์ไฟโชว์ หรือมีข้อความแจ้งเตือนการเปลี่ยนอะไหล่ (ผ้าเบรก/จานเบรก)     
ผ้าเบรกปัจจุบัน ต้องมีความหนาเท่ากับหรือน้อยกว่า 6 มม. หรือ
จานเบรกปัจจุบัน ต้องสึกหรอมากกว่า 1.5 มม. จากความหนาปกติของอะไหล่ใหม่
สามารถรับสิทธิพิเศษได้เพียง 1 สิทธิ ต่อ 1 หมายเลขตัวถังเท่านั้น
สิทธิพิเศษไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่นได้
สิทธิพิเศษนี้ไม่สามารถแลก เปลี่ยน หรือทอนเป็นเงินสดได้ โดยลูกค้าจะต้องเปลี่ยนอะไหล่ฟรีตามรายการที่เลือกรับ (ผ้าเบรก ไส้กรองอากาศ หรือจานเบรก) ณ ศูนย์บริการฯ ในวันที่เข้ารับบริการเท่านั้น และไม่สามารถนำเฉพาะชิ้นส่วนอะไหล่ที่ได้รับออกนอกศูนย์บริการฯ
เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดตรวจสอบเงื่อนไขและรายละเอียดแคมเปญได้ ณ ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

17
อาการของโรคต้อกระจก (Cataract)

ต้อกระจก เป็นภาวะที่แก้วตาหรือเลนส์ตา (lens) ภายในลูกตามีลักษณะขุ่นขาวขึ้นจากปกติที่มีลักษณะโปร่งใสเหมือนกระจก อาจมีลักษณะขุ่นที่ตรงกลาง (nuclear cataracts) หรือขอบ ๆ (cortical cataracts) หรือด้านหลังของแก้วตา (posterior subcapsular cataracts)

เมื่อแก้วตาขุ่นขาวก็มีลักษณะทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปรวมตัวที่จอตา (เรตินา) ทำให้เกิดอาการสายตาฝ้าฟาง หรือสายตามัวคล้ายเห็นมีหมอกบัง

พบมากในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง คนอ้วน ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ ผู้ที่สัมผัสถูกแสงแดด สูบบุหรี่หรือดื่มสุราจัดเป็นประจำ และอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคตาชนิดอื่น ๆ

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะเสื่อมตามวัย ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกแทบทุกราย แต่อาจเป็นมากน้อยต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในผู้สูงอายุ (senile cataract)

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งทำให้เกิดต้อกระจกก่อนวัยสูงอายุ เช่น

    การมีโรคเรื้อรังประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) หรือมีภาวะอ้วน
    การถูกแสงแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต)
    ความผิดปกติของตา (เช่น สายตาสั้นชนิดรุนแรง ม่านตาอักเสบ ต้อหิน) การได้รับบาดเจ็บ การกระทบกระเทือนที่ตาอย่างรุนแรง หรือการผ่าตัดตา
    การใช้ยา ที่พบบ่อย ได้แก่ การใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ ทั้งชนิดกิน ชนิดหยอดตา ชนิดทา และชนิดสูดพ่น
    การถูกรังสีบริเวณตานาน ๆ เช่น ผู้ที่เป็นมะเร็งที่เบ้าตาเมื่อรักษาด้วยรังสีบ่อย ๆ
    การสูบบุหรี่ หรือดื่มสุราจัด
    ในเด็กอาจเป็นมาแต่กำเนิด อาจมีสาเหตุจากติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา (เช่น ทารกที่เป็นหัดเยอรมัน หรือซิฟิลิสแต่กำเนิด) หรือเกิดจากโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (เช่น โรคกาแล็กโทซีเมีย, โรคเท้าแสนปมชนิดที่ 2) หรือกลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome เป็นโรคปัญญาอ่อนชนิดหนึ่งซึ่งทารกมีโครโมโซมที่ผิดปกติ)
    เด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (atopic dermatitis) อาจพบว่าเป็นต้อกระจกตั้งแต่อายุ 20-40 ปี ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากตัวโรคเอง หรือเกิดจากการใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ ก็ได้

อาการ

ในระยะเริ่มแรกผู้ป่วยจะรู้สึกมีอาการตามองเห็นเหมือนมีหมอกจาง ๆ บังตาเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ต่อมาสายตาจะค่อย ๆ มัวมากขึ้น และขยายพื้นที่ที่เห็นเหมือนหมอกบังมากขึ้นโดยไม่มีอาการเจ็บปวดหรือตาแดงแต่อย่างใด   

ผู้ป่วยจะรู้สึกตอนกลางคืนสายตาจะมัวมาก การอ่านหนังสือหรือทำงานที่ต้องใช้สายตาต้องใช้แสงที่สว่างมากขึ้น หรืออาจต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย   

นอกจากนี้ ยังอาจมี อาการมองในที่มืดชัดกว่าที่สว่าง* หรือถูกแสงสว่างจะรู้สึกตาพร่ามัว สู้แสงไม่ได้ มองเห็นภาพสีซีดกว่าปกติหรือเป็นสีเหลือง มองเห็นแสงไฟกระจาย (โดยเฉพาะขณะขับรถในตอนกลางคืน) หรือมองเห็นเป็นวงแหวนรอบแสงไฟ บางคนอาจมีอาการมองเห็นภาพซ้อน

อาการตามัวจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ กินเวลาเป็นแรมเดือนแรมปี จนในที่สุดเมื่อแก้วตาขุ่นขาวมากขึ้น ก็จะมองภาพ (เช่น ตัวเลข ตัวหนังสือ หน้าคน) ไม่ชัด

สำหรับต้อกระจกในผู้สูงอายุ มักจะเป็นที่ตาทั้ง 2 ข้าง แต่จะสุกไม่พร้อมกัน หรือข้างหนึ่งมีอาการมากกว่าอีกข้างหนึ่ง

*สำหรับต้อกระจกในผู้สูงอายุในระยะแรก แก้วตามักจะขุ่นขาวเฉพาะบริเวณตรงกลาง เมื่อมองในที่มืดรูม่านตาจะขยาย เปิดทางให้แสงผ่านเข้าแก้วตาส่วนรอบนอกที่ยังใสเป็นปกติ จึงทำให้เห็นภาพได้ชัด แต่เมื่อมองในที่สว่างรูม่านตาจะหดเล็กลง แสงสว่างจะผ่านเฉพาะแก้วตาส่วนตรงกลางที่ขุ่นขาวทำให้พร่ามัว


ภาวะแทรกซ้อน

เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัดจะทำให้ตาบอดสนิท

ในบางรายแก้วตาอาจบวม หรือหลุดลอยไปอุดกั้นทางระบายของเหลวในลูกตา ทำให้ความดันภายในลูกตาสูงขึ้น จนกลายเป็นต้อหินได้ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาอย่างรุนแรง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจดูตาจะพบแก้วตามีลักษณะขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องผู้ป่วยจะรู้สึกตาพร่า

การใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจดูจะไม่พบปฏิกิริยาสะท้อนสีแดง (red reflex)

แพทย์จะใช้เครื่องตรวจวัดสายตา ความดันลูกตา จอประสาทตา และการตรวจสุขภาพตา ซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน

บางครั้งแพทย์อาจให้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เพื่อเปิดมุมกว้างสำหรับการตรวจภายในลูกตาได้ละเอียด อาจทำให้เห็นแสงจ้า หรือรู้สึกตาพร่ามัวอยู่สักพักใหญ่ และจะหายดีหลังจากยาหมดฤทธิ์


การรักษาโดยแพทย์

ถ้าอาการยังไม่มาก แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับการดูแลตนเองของผู้ป่วย ตัดแว่นสายตาใหม่ให้ผู้ป่วยใส่เพื่อให้มองเห็นได้ชัดขึ้น และนัดผู้ป่วยมาติดตามตรวจดูอาการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ (ทุก 6-12 เดือน)

แพทย์จะทำการผ่าตัดต้อกระจกเมื่อผู้ป่วยมีสายตามัวจนดำเนินชีวิตประจำวันได้ไม่สะดวก เช่น การอ่านหนังสือ การทำงานที่ต้องใช้สายตา การเดินทาง การขับรถ เป็นต้น

ส่วนในทารกที่เป็นต้อกระจกมาแต่กำเนิด อาจต้องผ่าตัดเมื่ออายุได้ 6 เดือน เพื่อป้องกันมิให้ประสาทตาเสื่อม

ในปัจจุบันจักษุแพทย์นิยมทำการผ่าตัดโดยวิธีสลายต้อด้วยคลื่นความถี่สูงหรืออัลตราซาวนด์ (phacoemulsification) ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่มีอาการไม่มาก หรือตั้งแต่ระยะไม่นานหลังตรวจพบว่าเป็นโรคนี้

การผ่าตัดโดยวิธีนี้ แพทย์จะใช้คลื่นความถี่สูงทำให้เนื้อเลนส์ (แก้วตา) สลายตัวและดูดออก แล้วใส่เลนส์เทียม (ซึ่งสามารถใช้งานได้ตลอดชีวิต) เข้าไปแทนในถุงหุ้มเลนส์เดิม* เรียกว่า "การฝังเลนส์เทียม (Intraocular lens implantation)" โดยมีเลนส์เทียมอยู่หลายชนิด แพทย์จะเลือกใช้เลนส์เทียมชนิดที่เหมาะกับระดับสายตาและการใช้งานของผู้ป่วยซึ่งได้ผ่านการตรวจวัดสายตาอย่างละเอียดก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัดผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นสายตา

  การผ่าตัด ใช้วิธีฉีดยาชาที่บริเวณรอบดวงตา แผลผ่าตัดเล็กมากซึ่งไม่ต้องเย็บแผล ใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมง ไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

        สำหรับผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกทั้ง 2 ข้าง แพทย์จะทำการผ่าตัดทีละข้าง โดยการผ่าตัดข้างที่ 2 ทิ้งช่วงให้ข้างแรกที่ผ่าหายดีเสียก่อน (แผลผ่าตัดมักจะหายดีภายใน 8 สัปดาห์) บางรายแพทย์อาจทำการผ่าตัดทั้ง 2 ข้างในครั้งเดียวกัน ซึ่งจำเป็นต้องมีคนดูแลหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด

ผลการรักษา การผ่าตัดด้วยวิธีนี้มีความปลอดภัยสูง และช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นสายตาให้กลับมามองเห็นชัดเช่นคนปกติทั่วไป และตาข้างที่ผ่าตัดแล้วไม่เป็นต้อกระจกซ้ำอีก

ส่วนภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดมีน้อยมากและมักแก้ไขได้ เช่น การติดเชื้อ การมีเลือดออกในลูกตา ภาวะถุงเลนส์ตาขุ่นหลังผ่าตัดต้อกระจก (posterior capsule opacification ซึ่งส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัว) ภาวะจอตาลอก (retinal detachment) เป็นต้น   

*วิธีนี้จะไม่รอจนต้อสุกแบบวิธีผ่าตัดแบบเก่า เพราะถุงหุ้มเลนส์อาจเสื่อมจนใช้งานไม่ได้ จึงนิยมผ่าตัดในระยะที่เริ่มเป็นต้อกระจกได้ไม่นาน


การดูแลตนเอง

หากมีอาการสายตาพร่ามัว มองเห็นคล้ายมีหมอกบังตา หรือมองเห็นแสงสีที่ผิดไปจากปกติ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นต้อกระจก ควรดูแลรักษา ดังนี้

1.  ระยะก่อนผ่าตัด

    รักษา ใส่แว่นสายตา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงตามที่แพทย์นัด
    สวมแว่นกันแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต) เวลาออกกลางแดด
    เวลาอยู่ในบ้านเพิ่มแสงสว่างให้เห็นชัด
    เวลาอ่านหนังสือ ใช้แว่นขยายช่วยตามความจำเป็น
    หลีกเลี่ยงการขับรถตอนกลางคืน
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินและยาหยอดตามาใช้เอง เพราะยังไม่มียาที่ใช้รักษาต้อกระจกให้หายได้ ยกเว้นการผ่าตัด 
    ถ้ามีอาการปวดตา ตาแดง ตาแฉะ เคืองตา หรือแสบตา ควรปรึกษาแพทย์ ในรายที่ตรวจพบว่ามีอาการแสบตา เคืองตาจากภาวะตาแห้งซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ แพทย์จะให้น้ำตาเทียมหยอดตา 


2.  ระยะหลังผ่าตัด

    รักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น นั่ง ยืน เดิน ออกกำลังกายเบา ๆ ไม่หักโหม อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ กินอาหารได้ตามปกติ อาบน้ำได้ (ยกเว้นส่วนใบหน้าและศีรษะ) สระผมได้ (แต่ควรสระที่ร้านสระผม) ระวังอย่าให้น้ำเข้าตา จนกว่าแผลจะหายสนิท ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังผ่าตัด   
    หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงเบ่ง (เช่น การยกของหนัก การวิดพื้น การเบ่งอุจจาระแรง ๆ) และการไอหรือจามแรง ๆ ถ้ามีอาการไอมากควรพบแพทย์สั่งยาแก้ไอให้ เวลาจามควรอ้าปากจาม
    ห้ามให้น้ำเข้าตา ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ควรใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดให้หมาดเช็ดหน้าแทนการล้างหน้า และทำความสะอาดตาข้างที่ผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์หรือพยาบาลทุกวัน โดยใช้น้ำเกลือและชุดเช็ดตาที่ทางโรงพยาบาลจัดให้
    ห้ามขยี้ตาหรือกระทบกระเทือนรุนแรงบริเวณดวงตาข้างที่ผ่าตัด ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ควรป้องกันเหตุดังกล่าวด้วยการใช้ที่ครอบตาพลาสติกปิดตา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเข้านอนทุกคืน) ในเวลากลางวันหากไม่สะดวกที่จะใช้ที่ครอบตา สามารถสวมแว่นป้องกันดวงตาแทนที่ครอบตาได้
    หลีกเลี่ยงการใช้โลชั่น หรือการแต่งหน้ารอบ ๆ ดวงตา
    ใช้ยาหยอดตา/ยาป้ายตาที่แพทย์จัดให้อย่างเคร่งครัด (ซึ่งมักเป็นยาลดการอักเสบและยาปฏิชีวนะ) ควรหยอดตา/ป้ายตาเฉพาะข้างที่ผ่าตัดเท่านั้น ห้ามหยอด/ป้ายข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด
    หลังเปิดตา (แพทย์จะแนะนำให้ใช้แผ่นผ้าปิดตาข้างที่ผ่าไว้ราว 5-7 วันหลังผ่าตัด) ตาข้างที่ผ่าตัดจะเห็นแสงจ้ามากกว่าปกติ ซึ่งจะค่อย ๆ ปรับเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ หากรู้สึกจ้ามากเมื่ออยู่ในที่สว่าง ควรใส่แว่นตาดำกันแสง
    ควรใส่แว่นตาดำกันแดดขณะออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝุ่นหรือควันมาก
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด โดยทั่วไปแพทย์จะนัดมาดูแผลในวันรุ่งขึ้น และ 1 สัปดาห์ และ 1 เดือน หลังผ่าตัด หากไม่มีปัญหาแทรกซ้อนก็จะนัดห่างขึ้นไป และในที่สุดแพทย์จะนัดตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง
    ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ก่อนนัดทันที
          -  ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น เปลือกตาบวม ตาแดงมากขึ้น ปวดตามาก มีขี้ตามากขึ้น เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชถ่ายรูป ตาข้างที่ผ่าเคยชัดกลับมัวลงอีก หรือเผลอขยี้ตาหรือตาได้รับการกระทบกระเทือนแรง
          -  ในกรณีที่แพทย์ให้ยากิน ยาหยอดตา/ยาป้ายตากลับไปใช้ที่บ้าน หากสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง คันตา ตาบวม ตาแดง ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ต้อกระจกในผู้สูงอายุ ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก หรือป้องกันไม่ให้เกิดต้อกระจกก่อนวัยอันควร ด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มสุราจัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาสเตียรอยด์ ยาชุดหรือยาลูกกลอนที่ใส่ยาสเตียรอยด์มาใช้เองอย่างพร่ำเพรื่อ (ยาสเตียรอยด์เป็นยาอันตรายที่ควรให้แพทย์สั่งใช้ตามความจำเป็น)
    สวมแว่นกันแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต) เวลาออกกลางแดด
    ถ้าน้ำหนักเกิน ลดน้ำหนัก
    ควบคุมโรคประจำตัว (เช่น เบาหาน ความดันโลหิต) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่ให้เพียงพอ ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกได้

ข้อแนะนำ

1. อาการตามัวอาจมีสาเหตุอื่นนอกจากต้อกระจก ควรซักถามอาการและตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่เกิดจากภาวะร้ายแรง เช่น ต้อหิน (ตรวจอาการตามัว)

2. ต้อกระจกที่พบในผู้ที่มีอายุน้อย หรือวัยกลางคน อาจมีสาเหตุจากเบาหวานหรืออื่น ๆ ได้ ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล

3. การรักษาต้อกระจกมีอยู่วิธีเดียว คือ การผ่าตัด ไม่มียาที่ใช้กินหรือหยอดแก้อาการของต้อกระจกได้ ปัจจุบันแพทย์นิยมทำการผ่าตัดโดยวิธีสลายต้อด้วยคลื่นความถี่สูงและการฝังเลนส์เทียม ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ เลนส์เทียมชนิดโฟกัสระยะเดียว (monofocal  IOL ช่วยให้สามารถโฟกัสภาพในระยะไกลได้ ส่วนการมองใกล้ต้องอาศัยแว่นอ่านหนังสือช่วย), เลนส์เทียมชนิดโฟกัสหลายระยะ (multifocal IOL ใช้สำหรับมองไกลและใกล้ได้), เลนส์เทียมชนิดยืดหยุ่น (accommodating IOL ปรับระยะได้ในตัวเอง คล้ายแก้วตาธรรมชาติ), เลนส์เทียมชนิดแก้ไขสายตาเอียง (Toric IOL ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นตาแก้สายตาเอียงหลังผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีสายตาเอียงอยู่เดิม), เลนส์เทียมชนิดโฟกัสหลายระยะและแก้ไขสายตาเอียง (Multifocal Toric IOL ช่วยให้มองเห็นในระยะใกล้และไกลชัดเจน และแก้ไขสายตาเอียง)

สำหรับผู้ป่วยที่มีข้อห้าม ไม่สามารถผ่าตัดโดยวิธีฝังเลนส์เทียม หลังผ่าตัดเอาต้อกระจกออก แพทย์จะวัดสายตาและตัดแว่นให้ผู้ป่วยใส่แทน

4. ถ้าหลังจากผ่าตัด ตาข้างนั้นมีอาการตามัวอีก ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ อาจเกิดจากถุงหุ้มเลนส์ขุ่น หรือสาเหตุอื่น เช่น ต้อหิน จอตาเสื่อม เป็นต้น

5. ผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกควรหลีกเลี่ยงการไปรักษาตามแบบพื้นบ้าน ซึ่งบางคนยังนิยมเพราะกลัวการผ่าตัด หรือกลัวเสียค่าใช้จ่ายมาก หมอเหล่านี้ (ซึ่งไม่ใช่แพทย์) จะทำการเดาะแก้วตา (couching) โดยการใช้เข็มดันแก้วตาให้หลุดไปด้านหลังของลูกตา แสงก็จะผ่านเข้าไปในตาได้ ทำให้มองเห็นแสงสว่างได้ทันที และให้ใส่แว่นทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น แต่ไม่ช้าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น ต้อหิน เลือดออกในวุ้นลูกตา หรือประสาทตาเสื่อมทำให้ตาบอดอย่างถาวร

18
ดอกเบี้ยเงินฝาก บัญชีเงินฝากประจำพิเศษ (ระยะเวลา 3 เดือน)-ธนาคารไทยเครดิต (Thai Credit)
ดอกเบี้ย : 1.500 %

จุดเด่น
เปิดให้บริการรับฝากตั้งแต่ 1 ก.พ. 68 ถึง 30 เม.ย. 68
เปิดบัญชีขั้นต่ำ 100,000 บ. ฝากเพิ่มครั้งต่อไปขั้นต่ำ 1,000 บ. โดยสามารถฝากเพิ่มได้ภายในระยะเวลาที่เปิดให้บริการรับฝาก
จำนวนเงินฝากสูงสุดต่อรายไม่เกิน 30,000,000 บาท (นับรวมบัญชีเงินฝากประจำทุกประเภท ยกเว้นบัญชึเงินฝากประจำทันใจ และบัญชีเงินฝากประจำพิเศษ สำหรับผู้ที่ซื้อประกันชีวิตผ่านสาขาของธนาคาร ทุกระยะเวลาฝาก)
รายละเอียดบัญชี
สถาบันการเงิน : ไทยเครดิต
ชื่อบัญชี : บัญชีเงินฝากประจำพิเศษ (ระยะเวลา 3 เดือน)
ลักษณะบัญชี : ต้องฝากทุกเดือน
ผู้มีสิทธิฝากและคุณสมบัติ : บุคคลธรรมดา
เปิดบัญชีขั้นต่ำ : 100,000 บาท
ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ : 3 เดือน
ประเภทอัตราดอกเบี้ย : แบบอัตราคงที่

อัตราดอกเบี้ย
ระยะเวลาฝาก   ช่วงเงินฝากที่เลือก                        บุคคลธรรมดา   นิติบุคคลทั่วไป   นิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไร   ราชการ   รัฐวิสาหกิจ
ระหว่าง 3 เดือน   ตั้งแต่ 100,000 ถึง 30,000,000   1.500 %                  -                                     -               -                 -

หมายเหตุ : อ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยธนาคารตามประกาศฉบับล่าสุด ดูได้ที่นี่
รายละเอียดดอกเบี้ย :
ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝาก (หลังหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว) กรณีวันครบกำหนดตรงกับวันหยุดทำการ ธนาคารจะเลื่อนการจ่ายดอกเบี้ยเป็นวันทำการถัดไป
เมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝากเงินแต่ละรายการ และผู้ฝากไม่แจ้งความประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงประเภทเงินฝากธนาคารจะทำการรับฝากเงินต่ออัตโนมัติให้ตามระยะเวลาฝากเงินเดิม (ระยะเวลา 3 เดือน) และคิดดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ระยะเวลา 3 เดือน ตามประกาศในขณะนั้
 
เงื่อนไขสำคัญ : n/a
การจ่ายดอกเบี้ย : n/a
สิทธิการถอนก่อนกำหนด :
กรณีถอนเงินก่อนครบกำหนดระยะเวลาการฝากหรือฝากเงินไม่ถึงเดือน ธนาคารจะไม่จ่ายดอกเบี้ย ทั้งนี้ ผู้ฝากจะได้รับอัตราดอกเบี้ยในกรณีผิดเงื่อนไขการฝากตามที่ธนาคารกำหนด
กรณีถอนเงินฝากก่อนครบกำหนดระยะเวลาฝาก หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการฝากเงิน ธนาคารไม่จ่ายดอกเบี้ย
 
ช่วงที่เปิดรับฝาก : ตั้งแต่ 1 ก.พ. 68 ถึง 30 เม.ย. 68

19
จัดฟันบางนา: ปัญหาที่พบบ่อย หลังจาก ฝังรากฟันเทียม !

ทุกการผ่าตัดทางการแพทย์หรือแม้แต่การผ่าตัดทางทันตกรรม ก็ต้องมีปัญหาหลังจากการเข้ารับการผ่าตัดด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต หรือปัญหาที่เกิดขึ้นภายในช่องปากหรือบาดแผลที่ได้จากการผ่าตัด ซึ่งทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของปัญหาเหล่านั้น

อย่างที่ทราบกันดีว่า การฝังรากฟันเทียมนั้น จะต้องมีการผ่าตัดเพื่อทำการฝังรากฟันเทียมลงไปบนกระดูกขากรรไกร ซึ่งแน่นอนว่า การที่จะมีเครื่องมือหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอยู่ภายในช่องปาก อาจจะทำให้ผู้เข้ารับการรักษาอาจจะยังไม่ชิน ซึ่งต้องมีการปรับตัวค่อนข้างเยอะ และปัญหาจากการฝังรากฟันเทียมนั้น ก็สามารถแก้ไขได้ หากไม่มีการเสียหายของรากฟันที่ทำการฝังเข้าไปแล้ว

สำหรับปัญหาที่อาจจะพบได้บ่อยๆ หลังจากการฝังรากฟันเทียม ก็อาจจะเกิดการอักเสบของแผล หรือรากฟันเทียมหลวม รู้สึกไม่กระชับ ซึ่งเกิดจากกระดูกรองรับฟันที่ไม่แข็งแรงมากพอ โดยปัญหาเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงอาจจะมีอาการเสียวบริเวณบาดแผล หรืออาการปวด ที่จะต้องเจอหลังจากการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม แต่ในกรณีที่อาการเจ็บปวดไม่หาย หลังจากที่ฝังรากฟันเทียมมาสักระยะ ถือเป็นเรื่องผิดปกติ ผู้เข้ารับการรักษาต้องเข้าพบทันตแพทย์ทันที เพื่อแก้ไขปัญหา หากละเลยอาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการอักเสบแบบเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้มีความยุ่งยากในการรักษา

หากผู้เข้ารับการรักษาเจอกับอาการข้าวต้นที่กล่าวมา ควรเข้าปรึกษาทันตแพทย์ ทั้งนี้ปัญหาหลังจากการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม อาจจะเกิดขึ้นได้สนบางกรณี ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะเจอกับปัญหาดังกล่าว เพราะฉะนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการปฏบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา อย่างไรก็ตาม หากต้องการที่เข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม

ทางคลีนิค เรามีทีมทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์การรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม มาอย่างยาวนาน มีความรู้เฉพาะด้านและมีการการันตีถึงผลการรักษาถึงอัตราความสำเร็จ เพื่อให้คุณได้มั่นใจว่า สุขภาพข่องปากของคุณได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ

20
วัดสายสุวพรรณเชิญชวนใส่ชุดขาวชาย ทำสมาธิฝึกสติฝึกจิตใจฟื้นฟูจิตวิญญาณ

วัดสายสุวพรรณในจังหวัดปทุมธานีเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง วัดที่เงียบสงบแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงระยะทางสั้นๆเป็นสถานที่เงียบสงบสำหรับการทำสมาธิ ใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดสายสุวพรรณช่วยให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับแก่นแท้ของคำสอนของพุทธศาสนาในสภาพแวดล้อมที่สงบและเอื้ออาทร

วัดสายสุวพรรณ คลองหลวง ปทุมธานี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงในจังหวัดปทุมธานี เป็นวัดที่มีความสวยงามและมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัดสายสุวพรรณ คลองหลวง ปทุมธานี เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 7:30 น. ถึง 17:00 น.

บรรยากาศภายในวัดสุวรรณพันธ์
วัดสายสุวพรรณตั้งอยู่ในพื้นที่สีเขียวอันอุดมสมบูรณ์และรายล้อมไปด้วยชนบทที่เงียบสงบ มีบรรยากาศที่เงียบสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม สถาปัตยกรรมที่สวยงามของวัด โครงสร้างแบบไทยดั้งเดิมและสวนอันเงียบสงบทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการสงบจิตใจและฟื้นฟูจิตวิญญาณ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่มากประสบการณ์หรือเพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรม สภาพแวดล้อมที่วัดสุวรรณพันธ์ก็พร้อมต้อนรับทุกคน

โอกาสปฏิบัติธรรม
วัดสายสุวพรรณมีโปรแกรมต่างๆ สำหรับผู้สนใจปฏิบัติธรรม เช่น การทำสมาธิ การฝึกสติ และฟังคำสอนจากพระภิกษุผู้มีประสบการณ์ ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าร่วมการปฏิบัติธรรมทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว ทำให้สามารถนำการปฏิบัติธรรมไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย

วัดเน้นการทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่เน้นการมีสติและความเข้าใจในธรรมชาติของความเป็นจริง ผู้เข้าร่วมจะได้รับการกระตุ้นให้สังเกตความคิด อารมณ์ และความรู้สึกทางกายของตนเองโดยไม่ยึดติด ซึ่งจะทำให้มีความตระหนักรู้ในตนเองและความสงบภายในมากขึ้น ตารางประจำวันโดยทั่วไปประกอบด้วยช่วงนั่งสมาธิ เดินจงกรม และฟังธรรมะ ซึ่งเป็นแนวทางที่รอบด้านสำหรับการพัฒนาจิตวิญญาณ

สัมผัสวัฒนธรรมไทยและพระพุทธศาสนา
นอกจากการปฏิบัติธรรมแล้ว วัดสุวรรณพันธ์ยังเป็นโอกาสที่ดีในการดื่มด่ำกับวัฒนธรรมพุทธไทย ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าร่วมพิธีกรรมแบบดั้งเดิม ตักบาตรพระสงฆ์ และเข้าร่วมพิธีกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจในวิถีชีวิตของชาวพุทธอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ชุมชนที่อบอุ่นและเป็นมิตรของวัดพร้อมที่จะแบ่งปันความรู้และแนะนำผู้มาใหม่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ

วิธีการเดินทาง
วัดสายสุวพรรณตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี ห่างจากใจกลางกรุงเทพฯ ประมาณ 1 ชั่วโมงโดยรถยนต์ สามารถเดินทางมาได้สะดวกด้วยรถยนต์หรือระบบขนส่งสาธารณะ จึงเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการผสมผสานการปฏิบัติธรรมเข้ากับการท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับจากตัวเมือง

เคล็ดลับสำหรับผู้เยี่ยมชม
แต่งกายสุภาพ : เช่นเดียวกับวัดส่วนใหญ่ในประเทศไทย นักท่องเที่ยวควรแต่งกายสุภาพ โดยปกปิดไหล่และเข่า
เคารพกฎของวัด : โปรดคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบของวัด หลีกเลี่ยงเสียงดัง และรักษากิริยามารยาทที่สุภาพอยู่เสมอ
การเตรียมตัวสำหรับการทำสมาธิ : หากคุณวางแผนที่จะเข้าร่วมเซสชั่นการทำสมาธิ ขอแนะนำให้คุณนำเสื้อผ้าที่สบายๆ มาด้วย และเตรียมตัวที่จะนั่งเป็นเวลานาน

วัดสายสุวพรรณเป็นสถานที่ที่สงบเงียบและเสริมสร้างจิตวิญญาณให้กับทุกคนที่ต้องการฝึกฝนการปฏิบัติธรรมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะต้องการปรับปรุงทักษะการทำสมาธิ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไทย หรือเพียงแค่ค้นหาความสงบภายใน วัดในจังหวัดปทุมธานีแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการหลีกหนีจากโลกภายนอกและมุ่งเน้นที่การพัฒนาตนเอง

21
ทำบุญอย่างไร ให้ได้อานิสงส์สูงสุด

บุญ ในพระพุทธศาสนา หมายถึง การทำความดี การประพฤติชอบทั้งทางกาย วาจา และใจ ซึ่งการทำบุญนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ แต่การทำบุญอย่างไรจึงจะได้บุญสูงสุด? โดยรวมแล้ว ทางแห่งการสร้างบุญนั้นแบ่งได้ 3 อย่างคือ การให้ทาน, การรักษาศีล และการเจริญสมาธิ ภาวนา ซึ่งการให้ทานนั้น หากจะให้ได้อานิสงส์สูงสุด ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ


การให้ทาน

วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์

    ของสิ่งนั้นจะต้องเป็นของที่บริสุทธิ์ หมายถึงเป็นของที่หาได้ด้วยตนเอง ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนใครเขามา

 เจตนาในการสร้างทานต้องบริสุทธิ์

    คือก่อนให้ทานต้องมีศรัทธา ระหว่างให้ทานก็ให้ด้วยความยินดี และหลังจากที่ให้ทานไปแล้ว เมื่อย้อนนึกถึงทานที่ให้ไปก็ยินดี หรือปลื้มใจในสิ่งที่ได้ทำ

เนื้อนาบุญของผู้รับทานต้องบริสุทธิ์

    ทั้งผู้ให้ทาน และผู้รับทาน ล้วนแล้วแต่ต้องเป็นผู้ที่รักษาศีลด้วยความบริสุทธิ์ ก็จะได้บุญเกิดขึ้น


การรักษาศีล

    การรักษาศีล 5 ซึ่งเป็นหลักคำสอนของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์, งดเว้นจากการลักขโมย, งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม, งดเว้นจากการพูดเท็จ และ งดเว้นจากดื่มของมึนเมา

การเจริญสมาธิ ภาวนา

    การทำจิตให้นิ่ง ตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน กำจัดอารมณ์อื่นใดให้หมดสิ้น และเมื่อมีจิตที่ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิแล้ว สิ่งต่อไปคือการเจริญปัญญา ซึ่งจะแตกต่างจากการทำสมาธิ ตรงที่เราจะต้องใช้จิตคิด และใคร่ครวญเพื่อให้เห็นความจริงว่า สิ่งทั้งหลายในโลกมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นปกติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เมื่อพิจารณาทางแห่งการสร้างบุญทั้ง 3 อย่างแล้วนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากตัวเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติทางทางกาย วาจา ใจ อีกสิ่งที่สำคัญคือ บุญ จะได้มากหรือน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความศรัทธา และเจตนาในการทำสิ่งนั้นด้วย อานิสงส์จึงจะเกิดขึ้นสูงสุด

22
ผ้ากันไฟ ผ้าม่านกันไฟลาม ผ้าม่านดีๆ ที่ไม่คุณไม่ควรมองข้าม

โดยส่วนใหญ่แล้ว คนเราจะซื้อผ้าม่านเพื่อตกแต่งให้สวยงามและใช้กันแดดไม่ให้ส่องเข้ามาภายในบ้าน แต่ทราบมั้ยคะว่ามีผ้าม่านกันไฟลามที่นอกจากจะทำหน้าที่กันแดดและความสวยงาม ยังสามารถป้องกันการลุกลามของไฟในกรณีที่บ้านเกิดเพลิงไหม้ได้ วันนี้จะแนะนำให้ท่านรู้จัก ผ้าม่านกันไฟลาม ว่ามีคุณสมบัติเช่นไร ควรติดตั้งแบบไหนเพื่อให้ปลอดภัยที่สุด สร้างความอุ่นใจให้ผู้อยู่อาศัยมากขึ้น

ลักษณะของผ้าม่านกันไฟลาม

ผ้าม่านกันไฟลาม (Flame Retardant) หรือ ผ้ากันไฟ มีคุณสมพิเศษคือ เมื่อผ้าติดไฟ สามารถดับเองได้ โดยไม่ลามต่อ ตามมาตรฐานที่นิยมกันคือ

– BS 5867 (British Standards) มาตรฐานของประเทศอังกฤษ นิยมในประเทศยุโรป

– NFPA 701 (Nation Fire Protection Association) มาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา

– N1 เป็นมาตรฐานของประเทศฝรั่งเศส (เป็นมาตรฐานที่ดีที่สุด)

ประเภทของผ้าม่านกันไฟลาม

ผ้ากันไฟลาม เเบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1.แบบอาบน้ำยากันไฟ

เมื่อมีการทอเสร็จเรียบร้อย ทางผู้ผลิตจะนำผ้าที่ทอเสร็จมาอาบน้ำยากันไฟ เเละเนื่องจากน้ำยากันไฟมีหลายประเภท สิ่งที่ต้องพึงระวังคือ ควรซื้อจากผู้ผลิตที่เป็นโรงงานที่ได้รับมาตรฐานจากที่กล่าวไปในข้างต้น เเละเวลาซักผ้าม่าน น้ำยาที่อาบกันไฟย่อมมีโอกาสที่จะหลุดหายได้เร็วกว่า ผ้าม่านที่ผลิตจากเส้นด้ายกันไฟ

2.แบบเส้นด้ายกันไฟ

เช่น เส้นด้าย Tervira CS เป็นการทอโดยการใช้เส้นด้าย Tervira CS สามารถกันไฟตั้งเเต่เส้นด้าย โดยแบบนี้จะดีกว่าเเบบการอาบน้ำยากันไฟ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการลามของไฟได้ดี เเต่ราคาก็จะสูงกว่าแบบอาบน้ำยากันไฟ

ผ้าม่านกันไฟลามเหมาะกับการใช้งานแบบไหน

เหมาะกับบ้านที่ต้องการความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็ก หรือมีผู้สูงอายุ ที่อาจเกิดความประมาทจากสิ่งของ หรือวัตถุที่อาจก่อให้เกิดการติดไฟภายในบ้านได้

23
คอนโดติดรถไฟฟ้า สุชารี ไลฟ์ 2 (Sucharee Life 2)
N/A

สุชารี ไลฟ์ 2 (Sucharee Life 2)
จำนวนห้องมีเพียง 100 ยูนิต เน้นความเป็นส่วนตัวและฟังก์ชั่นที่ลงตัวตกแต่งแบบ Fully Furnished และ Facilities แบบจัดเต็ม พร้อมทั้งการเดินทางสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้าสาย สีแดงเพียง 650 เมตรและชมพู (อนาคต)

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               สุชารี ไลฟ์ 2 (Sucharee Life 2)
 เจ้าของโครงการ          สุชาต์ธนกิจ
 ราคา                       N/A
โครงการนี้มีอายุมากกว่า 3 ปี โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการอีกครั้ง

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล               คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด             Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ขนาดห้องที่มี            ตั้งแต่ 28.00 ถึง 56.10 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด             3 งาน 52 ตร.ว.
 จำนวนตึก                1 อาคาร
 จำนวนชั้น                8 ชั้น
 จำนวนห้อง             100 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด       ประมาณ 40%
 ค่าบำรุงส่วนกลาง      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค         สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, สวนหย่อม

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         แจ้งวัฒนะ, หลักสี่, ดอนเมือง, บางเขน
 ที่ตั้ง         ถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 10 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:       ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีชมพู, สถานี(แคราย - มีนบุรี)(ไม่ระบุ)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ไอทีสแควร์
เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ
บิ๊กซี แจ้งวัฒนะ
เทสโก้ โลตัส แจ้งวัฒนะ
โรงเรียนนานาชาติฮาโรว์
โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสเซเวียร์
โรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ
อิมแพค เมืองทองธานี
สนามบินดอนเมือง

24
รถยนต์ใหม่ 2025: บีเอ็มดับเบิลยู BMW X1 sDrive20i xLine ปี 2024
2,519,000 บาท 

บีเอ็มดับเบิลยู BMW X1 sDrive20i xLine ปี 2024
BMW X1 sDrive20i xLine ผสานพลังแห่งการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี TwinPower Turbo 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 300 นิวตันเมตร (ราคาขายรวม BSI STANDARD Package)

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ
2,099,000.-
2,639,000 บาท

BMW X1 sDrive20i Xline
5,300 Km
รถทดลองขับ
ดูสเปครุ่นปัจจุบัน

มานะชัย หอมเกษร (หนึ่ง)
0988974694
สอบถาม

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 10 ก.พ. - 28 ก.พ. 2568
โปรโมชั่นฟรีดาวน์
ขอใบเสนอราคา
รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              BMW
   รุ่น                   บีเอ็มดับเบิลยู BMW X1 sDrive20i xLine ปี 2024
   ประเภทรถ         รถสปอร์ตอเนกประสงค์ SAV, รถไฮบริด
   ปีที่เปิดตัว          2024
   ราคา                  2,519,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
อุปกรณ์ชุดแต่ง (ชุดแต่ง Satin Aluminium, xLine)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
กระจกกรองแสง
ไฟตัดหมอก (หน้า-หลัง)
ไฟหน้าส่องสว่างอัตโนมัติ (เปิด-ปิด อัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-me-home)
ปัดน้ำฝนกระจกหลัง
ไฟท้าย LED
ขนาดยางหน้า-หลัง (ยาง 225/55 R18)
ราวหลังคา (Aluminium Satinated)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (กระจกมองข้างตัดแสง)
ยางอะไหล่สำรอง
ไฟหน้า LED
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า)
ล้ออัลลอย (ล้อ aerodynamic ขนาด 18 นิ้วแบบสลับสี)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
ระบบจดจำปรับที่นั่งคนขับ
ระบบนำทาง (Navigator) (รุ่น Plus)
ตกแต่งภายใน (ภายในตกแต่งด้วยไม้ลาย Eucalyptus แบบด้าน)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้
กระจกมองหลังตัดแสง
ม่านบังแดด
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (ระบบสั่งงานด้วยเสียง)
อุปกรณ์วัดความเร็วสะท้อนกระจก Head Up Display

สเปค
   เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 300 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 7.6 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 236 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบผสม 15.9 กิโลเมตร/ลิตร ระดับการปล่อย CO2 แบบผสม 147 กรัม/กิโลเมตร

   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)              1,998 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)           204 แรงม้า
   ระบบเกียร์                               เกียร์ออโต้ 7AT
   รูปแบบเกียร์                             พร้อม Steptronic พร้อมคลัตช์คู่
   ระบบเบรค ABS                     มี (พร้อมระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) และระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ)
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง               เบนซิน 95, เบนซิน 91
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)                N/A
   ระบบจ่ายน้ำมัน                        Electronics Injection
   น้ำหนักตัวรถ                           1,625 กก.
   ประเภทยางรถยนต์                     ธรรมดา
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                        ล้ออัลลอย (ล้อ aerodynamic ขนาด 18 นิ้วแบบสลับสี)
   ระบบขับเคลื่อน                     ขับเคลื่อนล้อหน้า (xDrive)

ระบบความปลอดภัย
  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
ตัวถังนิรภัย
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค
สัญญาณกันขโมย
กุญแจรีโมท
กุญแจนิรภัย
ไฟเบรกดวงที่ 3 (แบบ LED)
ระบบปรับระยะส่องไฟหน้า
ระบบป้องกันสำหรับกระจกไฟฟ้า
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Active Safety เช่น กรณียางรถเกิดการระเบิดระบบยาง Run flat จะช่วยให้ขับขี่ไปต่อได้ถึงอีก 250 กม.)
รีโมทคอนโทรล
ระบบป้องกันการโจรกรรม
ระบบปลดล็อครถอัตโนมัติกรณีอุบัติเหตุ
หลอดไฟพิเศษระบบ Daytime Running Lights(DRL) (แบบ LED)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน , ระบบเซ็นเซอร์ตัดการส่งจ่ายน้ำมันเมื่อเกิดการชน, ระบบควบคุมเสถียรภาพแบบไดนามิก (DSC และ DTC), ชุดปะยางฉุกเฉิน)
เข็มขัดนิรภัย
พวงมาลัยยุบตัวได้
กระจกนิรภัย
คานเหล็กเสริมนิรภัย
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน
อื่นๆ (ระบบควบคุุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC), ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC), ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS), ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Attentiveness Assistant), ระบบสร้างเสียงจำลอง เตือนผู้ใช้ถนนรอบข้าง)
ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Plus (Parking Assistant Plus))
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก
เซ็นเซอร์ตรวจจับการชน (Crash Sensor)
ระบบเตือนแรงดันลมยาง

25
การตรวจฟันในเด็กเล็กก่อนเข้ารับการจัดฟันเด็ก

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะที่เอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ สุขภาพฟันถือว่าเป็นสุขอนามัยเบื้องต้น ที่เด็กจะต้องรักษาความสะอาดให้ดี เพราะถ้าหากเกิดฟันผุแล้ว คงไม่ดีต่อตัวเด็กแน่ๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งยี่สิบซี่ หรือเด็กมีอายุระหว่าง 2-3 ขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนม สร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน จากนั้นก็จะแนะนำเครื่องมือในการทำฟันต่างๆให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัว


จากนั้นจึงจะตรวจฟันเด็ก และให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรักษาความสะอาดฟันของเด็ก ตลอดจนอาหารที่ควรรับประทานและการใช้ฟลูออไรด์ ควรพาไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง นี่ถือว่าเป็นการเข้ารับการตรวจฟันทันตแพทย์ในเบื้องต้น เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้แนะนำแนวทางในการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อสร้างความเข้าใจให้เด็กได้รับรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพฟัน แต่สำหรับเด็กที่มีปัญหาในเรื่องของฟันนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่หลายคนอจจะกังวลและไม่ทราบว่า จะต้องพูดให้เด็กทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาจึงอาจจะรู้สึกหนักใจ วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป็นแนวทางในการเตรียมตัวและปฏิบัติตัวก่อนพาบุตรหลานขรับการจัดฟันในเด็กกับทันตแพทย์จัดฟัน


ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการจัดฟัน ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องฟันน้ำนมของเด็กก่อน เพราะเนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนยังคิดว่า ฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่สำคัญ คิดว่าถ้าถอนทิ้งก็คงไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็มีฟันแท้ขึ้นมาแทน ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญมาก ต่อลักษณะการขึ้นของฟันแท้โดยตรงและถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถาฟันน้ำนมของเด็กหลุดก่อนวัยอันควร ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดภาวะฟันแท้หายได้เลย ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายและส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพฟันด้วย ดังนั้น เด็กในวัยประถมที่ยังมีฟันน้ำนมก็สามารถจัดฟันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หลายปัญหาอาจสามารถหลีกเลี่ยง หรือลดความรุนแรงได้


หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สำหรับ การตรวจฟันในเด็กก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองคงจะต้องสร้างทัศนคติที่ดี พูดให้เด็กเข้าใจถึงผลลัพธ์ของการมีสุขภาพฟันที่ดี เพื่อลดความกังวลในเด็กเมื่อต้องเข้าพทันตแพทย์ การพาเด็กไปพบทันตแพทย์มีส่วนช่วยป้องกันฟันผุให้เด็กได้ โดยที่เด็กจะได้ประโยชน์จากการตรวจสภาพช่องปาก และจะทำให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมต่อการดูแลฟันเด็กในแต่ละคน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้เรียนรู้ หรือฝึกการแปรงฟันให้เด็กได้ และยังมีส่วนช่วยให้เด็กเกิดความคุ้นเคยกับทันตแพทย์และให้ความร่วมมือที่ดีต่อการรักษาฟันต่อไป เมื่อถึงเวลาที่เข้ารับการจัดฟัน เด็กจะได้มีความคุ้นชินและลดคาวมกังวลลงได้นั่นเอง

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กเข้ามาตรวจกับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้เลย เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมที่จะคอยให้คำปรึกษาในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด พร้อมกับช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพฟันให้เด็กได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสุขอนามัยในช่องปาก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีรรอยิ้มที่สดใส มีพัฒนาการที่ดี สสามารถใช้ชีวิตประจำวัน ทำกิจกรรมในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

26
บริการด้านอาหาร: น้ำผลไม้ ดีต่อสุขภาพจริงหรือ ?

หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การรับประทานผักและผลไม้นั้น ดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา เพราะอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆที่ดีต่อร่างกาย แต่ก็มีหลายคนที่อาจจะไม่ได้ชื่นชอบการรับประทานผลไม้ แต่จะหันไปดื่มน้ำผลไม้แทน เพราะรู้สึกให้สดชื่นมากกว่า ถือว่า “น้ำผลไม้” เป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่หลายๆ คนมักมองว่าดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผลไม้ ที่ถือว่าเป็นอาหารสุขภาพ แต่น้ำผลไม้นั้น จริง ๆ แล้วดีต่อสุขภาพอย่างที่หลาย ๆ คนคิดหรือเปล่า

เพราะแน่นอนว่า หากเราไม่ได้ทำน้ำผลไม้เอง หรือเลือกซื้อน้ำผลไม้ที่ขายตลาดท้องตลาด หากไม่ใช่น้ำผลไม้ที่ทำมาจากผลไม้ 100 % ก็จะต้องมีส่วนผสมของน้ำตาล ซึ่งถ้าหากเราดื่มน้ำผลไม้ที่ผสมน้ำตาล ก็อาจจะทำให้เราเสี่ยงที่เกิดโรคเบาหวานได้เช่นกัน ในขณะที่หลายคนเชื่อว่า น้ำผลไม้จริงๆ แล้วไม่ได้ดีต่อสุขภาพเพราะมันมีปริมาณน้ำตาลธรรมชาติที่เรียกว่า ฟรุกโตส ในปริมาณที่สูง แต่ในน้ำผลไม้ก็ยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนกัน ซึ่งทำให้หลายคนที่ชื่นชอบในการดื่มน้ำผลไม้นั้น อาจจะลังเลว่า ความจริงแล้ว น้ำผลไม้นั้น ดีต่อสุขภาพของเราจริงหรือไม่ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของน้ำผลไม้ว่า แท้จริงแล้วมีประโยชน์หรือไม่ หรือจะต้องดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์ เพื่อเป็นแนวทางกับคนที่ชื่นชอบได้ดื่มอย่างถูกวิธีเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

คนส่วนใหญ่ที่ดื่มน้ำผลไม้ เพราะชื่นชอบในรสชาติหวานหอมชื่นใจ ทั้งยังเชื่อกันว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นเดียวกับการกินผลไม้ทั้งลูก ทว่าน้ำผลไม้อาจไม่ใช่เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพอย่างที่คิดเสมอไป เพราะอาจมีน้ำตาลปริมาณมากพอ ๆ กับน้ำอัดลม และหากดื่มมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ด้วย สำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานผักและผลไม้ การดื่มน้ำผักผลไม้อาจช่วยให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดทดแทนได้เช่นกัน โดยเฉพาะวิตามินซี อย่างไรก็ตาม การรับประทานผลไม้ทั้งลูกก็ให้คุณประโยชน์มากกว่า เพราะน้ำผลไม้มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยกว่าเนื้อผลไม้ แต่ยังมีแคลอรี่สูงกว่า เนื่องจากการทำน้ำผลไม้นั้นต้องใช้ผลไม้จำนวนมาก ทั้งยังไม่ช่วยให้รู้สึกอิ่มเหมือนการกินผลไม้ที่ให้กากใยอาหาร ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้จึงมีแนวโน้มได้รับแคลอรี่สูงกว่าผู้ที่กินผลไม้ทั้งลูก

นอกจากนี้ น้ำผลไม้ยังมีน้ำตาลสูง ซึ่งการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในปริมาณมากจะส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้แต่ผู้ที่มีสุขภาพดีก็อาจเสี่ยงเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนได้ ส่วนผู้ป่วยโรคเบาหวานก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้เพื่อป้องกันอาการกำเริบ รวมไปถึง การดื่มน้ำผลไม้ ยังให้กากใยอาหารต่ำ เมื่อเทียบกับการรับประทานผลไม้สด และหากเป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปหลายขั้นตอนก็อาจไม่หลงเหลือกากใยอาหารอยู่เลย แต่หากอยากจะดื่มน้ำผลไม้ ควรดื่มน้ำผลไม้คั้นสด แต่ต้องคั้นโดยไม่ผ่านความร้อน เพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าทางสารอาหาร ซึ่งน้ำผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธีนี้จะคงความสดและแร่ธาตุวิตามินต่าง ๆ ได้มากกว่า และต้องมั่นใจด้วยว่า ไม่มีการเติมน้ำตาล สารให้ความหวาน หรือสารเติมแต่งกลิ่นรสใด ๆ

เพื่อให้ได้คุณค่าทางสารอาหารมากที่สุด ทั้งนี้ การเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่ปั่นแบบไม่แยกกากจะให้คุณค่าทางสารอาหารและมีกากใยมากกว่า ทั้งยังทำให้รู้สึกอิ่มด้วย ในขณะที่น้ำผลไม้คั้นแยกกากนั้นไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอิ่ม จึงทำให้ต้องรับประทานอาหารอื่น ๆ เพิ่ม ส่งผลให้ได้รับแคลอรี่สูงขึ้นในแต่ละวัน นอกจากนี้ หลังจากคั้นหรือปั่นก็ควรดื่มให้หมดภายในครั้งเดียว เพราะหากปล่อยไว้ แบคทีเรียจะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้น ส่งผลให้มีอาการท้องไส้ปั่นป่วนหรือถ่ายท้องตามมาได้

สิ่งที่สำคัญในการรับประทานอาหารให้ได้ประโยชน์สูงสุด ก็คือ เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย

27
ออล นิว ไทรทัน: Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 กระบบออฟโรดสายลุย ในบราซิล

Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 รถกระบะสายลุยในบราซิล ขุมพลังดีเซล 2.4 ลิตร 190 แรงม้า กับราคาค่าที่สูงถึง 309,990 เรอัลบราซิล หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 2.2 ล้านบาท

ในชั่วโมงนี้ถ้าเป็นข่าวของในแวดวงรถกระบะ หรือรถปิกอัพขนาด 1 ตัน ของไม่มีข่าวไหนที่น่าสนใจเท่ากับการมาของ All-New Mitsubishi Triton (ออล-นิว ไทรทัน) เจอเนเรชั่นที่ 6 ที่จะได้รับเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกของโลกที่ในประเทศไทย ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2023 ที่จะถึงนี้

แต่ในขณะที่อีกฝากฝั่งหนึ่งของมุมโลกอย่างในประเทศบราซิล ทางมิตซูบิชิบราซิล กลับยังคงเปิดตัวรถกระบะ Mitsubishi Triton ในโฉมปัจจุบัน แต่เพิ่มเติมความพิเศษด้วยชุดแต่งออฟโรดที่เอาใจสายลุยชาวแซมบา บราซิลโดยเฉพาะ โดยทาง Mitsubishi Brazil ตั้งชื่อในทางการตลาดของระกระบะคันนี้ว่า Mitsubishi L200 Triton Savana 2023

Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากในรุ่น L200 Triton Sport โดยได้รับการอัปเกรดใหม่ ด้วยชุดแต่งออฟโรดรอบคัน เริ่มจาก ติดตั้งสนอร์เกิลเคลือบกราไฟท์ที่สามารถลุยน้ำลึกได้ 70 ซม. แบบสบาย ๆ พร้อมติดตั้งบันไดข้างทรงกลมสีดำในสไตล์รถออฟโรดสายลุย ในขณะที่ชุดกันชนหน้าปรับเปลี่ยนมาในโทนสีดำทั้งหมด โดยทั้งหมดถูกเคลือบด้วยวัสดุกันรอยที่เรียกว่า X-liner

ด้านบนหลังคาติดตั้งแร็คหลังคาเหล็กที่รับน้ำหนักได้มากถึง 50 กม. ส่วนกระบะท้ายติดตั้ง Liner ที่ป้องกันรอยขีดข่วน มาพร้อมกล่องใส่ที่ยึดติดกับตัวกระบะท้ายที่ช่วยไม่ให้ของเคลื่อนที่ไปมาระหว่างการเดินทาง เสริมความดิบดุ ด้วยล้อกระทะเหล็กขนาด 17 นิ้ว รัดด้วยยาง GoodYear off-road Duratrack ขนาด 265/60

ปิดท้ายที่บ่งบอกว่าเป็นรุ่นพิเศษด้วยป้ายรุ่นรุ่น Savana ทีjด้านท้ายกระบะ ส่วนที่ฝากระท้ายติดชื่อรุ่น L200 Triton และชื่อ Savana ไว้คนมุมด้านท้าย

สำหรับเฉดสีของ Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 จะมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเหลือง Rally Yellow ,สีเขียว  Forest Green, สีครีม Jizan Beige และสีขาว Fuji White

สำหรับภายในห้องโดยสารถึงแม้จะเป็นรถสานยลุยด้านชุดอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น ยยังคงมีมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบปรับอากาศที่มาในแบบแบบแมนนวล, เบาะคนขับปรับความสูงได้, เบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนัง, ช่องเสียบไฟ 12V, พวงมาลัยระดับได้ทั้งสูง – ต่ำ และเข้า – ออก รวมทั้งยังมาพร้อมกับกระจกปรับด้วยไฟฟ้า

แผงแดชบอร์ดมาพร้อมกับหน้าจออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay รวมทั้งช่องเสียบ USB และระบบบลูทูธ ระบบเครื่องเสียงจาก JBL นอกจากนั้นยังเพิ่มความพิเศษด้วยการติดป้ายชื่อ ‘Savana‘ ไว้ที่บนแดชบอร์ดฝั่งผู้โดยสาร

สำหรับอุปกรณ์ความปลอดภัยจะได้รับ เซ็นเซอร์ช่วยจอดด้านหลัง, ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง, ระบบควบคุมการทรงตัวและการยึดเกาะถนน, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบล็อกเฟืองท้าย และระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน

ด้านพละกำลังยังคงมากับขุมพลังเบล๊อกเดียวกับ Triton Sport รุ่นอื่นๆ ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 เทอร์โบ ที่ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ได้รับการปรับเซทใหม่ โดยในเกียร์แรกจะสั้นลง 12% ขณะที่เกียร์ 6 ยาวขึ้น มาพร้อมระบบขับเคลื่อน แบบ Super Select 4WD-II (SS4-II)

ด้านราคาจำหน่ายของ Mitsubishi L200 Triton Savana 2023 ทางมิตซูบิชิ ในบราซิลตั้งราคาไว้ที่ 309,990 เรอัลบราซิล หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 2.2 ล้านบาท เลยทีเดียว

ขณะที่ในเมืองไทยนั้นในโฉมนี้คงต้องโบกมือลากันไปเสียแล้ว เพราะ Mitsubishi Triton รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 6 กำลังจะได้รับการเปิดตัวในบ้านเรา

28
Doctor At Home: ไมเกรน (Migraine)

ไมเกรน (โรคปวดหัวข้างเดียว ลมตะกัง ก็เรียก) พบได้ประมาณร้อยละ 10-15 ของประชากรทั่วไป พบได้ในคนทุกวัย แต่พบมากในช่วงอายุ 10-30 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 3.5 เท่า

โรคนี้มักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นแรมปี เริ่มเป็นครั้งแรกตอนย่างเข้าวัยรุ่น หรือระยะหนุ่มสาว โดยเฉพาะผู้ป่วยหญิงมักเป็นโรคนี้ตอนเริ่มมีประจำเดือน บางรายเริ่มเป็นโรคนี้ตั้งแต่เด็ก ซึ่งมักมีอาการปวดท้อง เมารถเมาเรือด้วย มีน้อยรายที่จะมีอาการเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ผู้หญิงที่เคยเป็นไมเกรนมาก่อนเมื่อถึงวัยใกล้หมดประจำเดือน (40-50 ปี) อาจมีอาการปวดศีรษะบ่อยขึ้น บางรายอาจทุเลาหรือหายไปเองเมื่ออายุมากกว่า 50-60 ปีขึ้นไป แต่บางรายอาจเป็นตลอดชีวิต

ไมเกรนจัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่สร้างความรำคาญน่าทรมาน และทำให้เสียการเสียงาน

โรคนี้เกิดได้กับคนทุกระดับ ไม่เกี่ยวกับฐานะทางสังคมหรือระดับสติปัญญา แต่ผู้ป่วยที่มีฐานะดีหรือมีการศึกษาดีมักจะปรึกษาแพทย์บ่อยกว่า ผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่เป็นประจำ มักเป็นคนประเภทเจ้าระเบียบ จู้จี้จุกจิก

โรคนี้ชาวบ้านเรียกว่า ลมตะกัง

สาเหตุ

โรคนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (พบว่าประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยไมเกรน มีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย) และมักมีสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบในแต่ละครั้ง

ส่วนกลไกการเกิดอาการของโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของสมอง ทั้งในส่วนเปลือกสมอง (cortex) และก้านสมอง (brain stem) ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ได้แก่ ซีโรโทนิน (serotonin พบว่ามีปริมาณลดลงขณะที่มีอาการกำเริบ) โดพามีน (dopamine) และสารเคมีกลุ่มอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเส้นใยประสาทสมองเส้นที่ 5 (trigeminal nerve fiber ที่เลี้ยงบริเวณใบหน้าและศีรษะ) รวมทั้งการอักเสบร่วมกับการหดและขยายตัวของหลอดเลือดแดงทั้งในและนอกกะโหลกศีรษะ ทำให้เปลือกสมอง (cortex) มีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะและอาการร่วมต่าง ๆ ขึ้นมา

สาเหตุกระตุ้น

ผู้ป่วยมักบอกได้ว่า มีสาเหตุต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ ซึ่งแต่ละคนอาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป แต่มักจะมีได้หลาย ๆ อย่าง ได้แก่

1. สิ่งกระตุ้นทางตา อาทิ

    มีแสงสว่างจ้าเข้าตา เช่น ออกกลางแดดจ้า ๆ แสงจ้า แสงไฟกะพริบ แสงสีระยิบระยับในโรงมหรสพหรือสถานเริงรมย์ เป็นต้น
    การใช้สายตาเพ่งดูอะไรนาน ๆ เช่น ดูภาพยนตร์ หนังสือ จอคอมพิวเตอร์ หรือกล้องจุลทรรศน์ เย็บปักถักร้อย เป็นต้น

2. กระตุ้นทางหู อาทิ

    การอยู่ในที่ที่มีเสียงดังจอแจ เช่น ตลาดนัด หรือเสียงอึกทึก (เช่น เสียงกลอง เสียงระฆัง)

3. สิ่งกระตุ้นทางจมูก อาทิ

    การสูดดมกลิ่นฉุน ๆ เช่น กลิ่นน้ำมันรถ กลิ่นสีหรือทินเนอร์ กลิ่นสารเคมี หรือยาฆ่าแมลง ควันบุหรี่ กลิ่นน้ำหอมหรือดอกไม้ เป็นต้น

4. สิ่งกระตุ้นทางลิ้น (อาหารและยา) อาทิ

    การดื่มกาแฟมาก ๆ ก็อาจกระตุ้นให้ปวดได้ (แต่บางคนดื่มกาแฟแล้วอาการทุเลา หรือขาดกาแฟกลับทำให้ปวดไมเกรน)
    เหล้า เบียร์ เหล้าองุ่นแดง (red wine) ถั่วต่าง ๆ กล้วย นมเปรี้ยว เนยแข็ง ช็อกโกแลต ตับไก่ ไส้กรอก อาหารทะเล อาหารทอดน้ำมัน อาหารหมักดองหรือรมควัน ผงชูรส น้ำตาลเทียม (aspartame) สารกันบูด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว (เช่น ส้ม มะนาว) หอม กระเทียม ล้วนกระตุ้นทำให้ปวดได้
    ยานอนหลับ ยาขยายหลอดเลือด (เช่น ไนโตรกลีเซอรีน) ยาลดความดัน (เช่น ไฮดราลาซีน รีเซอร์พีน) ยาขับปัสสาวะ

5. สิ่งกระตุ้นทางกาย (กายภาพ) อาทิ

    การอยู่ในที่ร้อนหรือเย็นเกินไป เช่น อากาศร้อนหรือหนาวจัด ห้องที่อบอ้าว ห้องปรับอากาศเย็นจัด อากาศเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
    การอดนอน (นอนไม่พอ) หรือนอนมากเกินไป การนอนตื่นสาย (เช่น ในวันหยุดสุดสัปดาห์)
    การอดข้าว กินข้าวผิดเวลา หรือกินอิ่มจัด เชื่อว่าเกี่ยวกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ซึ่งกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้ บางครั้งพบว่าผู้ป่วยไมเกรนเมื่อเป็นโรคเบาหวาน (มีน้ำตาลในเลือดสูง) อาการปวดจะหายไป
    การนั่งรถ นั่งเรือ หรือนั่งเครื่องบิน
    การเปลี่ยนแปลงของระดับความสูงหรือความดันบรรยากาศ
    อาการเจ็บปวดตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
    การเป็นไข้ เช่น ตัวร้อนจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่
    การออกกำลังกายจนเหนื่อยเกินไป รวมทั้งการร่วมเพศ
    ร่างกายเหนื่อยล้า
    การถูกกระแทกแรง ๆ ที่ศีรษะ (เช่น การใช้ศีรษะโหม่งฟุตบอล) ก็อาจทำให้ปวดศีรษะทันที
    อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ สำหรับผู้ป่วยหญิงมีผลต่อการเกิดอาการไมเกรนอย่างมาก เช่น บางรายมีอาการปวดเฉพาะเวลาใกล้จะมีหรือขณะมีประจำเดือน บางรายในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ก็อาจทำให้อาการกำเริบมากขึ้น เมื่อเลยระยะ 3 เดือนไปแล้ว อาการมักจะหายไปจนกระทั่งหลังคลอด (ในระยะ 6 เดือนหลังของการตั้งครรภ์มักมีฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนสูง) บางรายกินยาเม็ดคุมกำเนิด (มีฮอร์โมนเอสโทรเจน) ทำให้ปวดบ่อยขึ้น พอหยุดกินยาก็ดีขึ้น หรือฉีดยาคุมกำเนิดอาการมักจะทุเลา

6. สิ่งกระตุ้นทางใจ (อารมณ์) อาทิ

    ความเครียดทางอารมณ์ คิดมาก อารมณ์ขุ่นมัว ตื่นเต้น ตกใจ

สาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรน

อาการ

มักมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดแบบตุบ ๆ (เข้ากับจังหวะการเต้นของหัวใจ) ที่บริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง อาจปวดสลับข้างในแต่ละครั้ง ส่วนน้อยจะปวดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง บางรายอาจมีอาการปวดที่รอบ ๆ กระบอกตาร่วมด้วย แต่ละครั้งมักจะปวดนาน 4-72 ชั่วโมง และจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือสัมผัสถูกแสง เสียง หรือกลิ่น มักปวดรุนแรงปานกลางถึงมากจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน ผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย และบางรายอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย (หลังอาเจียนอาการปวดจะค่อย ๆ ทุเลาไปเอง) ผู้ป่วยมักมีอาการกลัว (ไม่ชอบ) แสงหรือเสียงร่วมด้วย ชอบอยู่ในห้องที่มืดและเงียบ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาพร่ามัว คัดจมูก ท้องเดิน ปัสสาวะออกมาก ซีด เหงื่อออก บวมที่หนังศีรษะหรือใบหน้า เจ็บหนังศีรษะ มีเส้นพองที่ขมับ ขาดสมาธิ อารมณ์แปรปรวน รู้สึกศีรษะโหวง ๆ รู้สึกจะเป็นลม แขนขาเย็น เป็นต้น

บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะ หรือบ้านหมุน โดยอาจมีหรือไม่มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วยก็ได้*

บางรายก่อนมีอาการปวดศีรษะ อาจมีสัญญาณบอกเหตุ (aura)** ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับสายตา เช่น เห็นแสงวอบแวบหรือระยิบระยับ เห็นเป็นเส้นหยัก ภาพเบี้ยว ภาพเล็กหรือใหญ่เกินจริง หรือเห็นดวงมืดในลานสายตา ซึ่งจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลา 5-20 นาที และมักจะเป็นอยู่นานไม่เกิน 60 นาที

ส่วนน้อยอาจมีสัญญาณบอกเหตุในลักษณะอื่น ๆ เช่น มีความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน (รู้สึกเสียวแปลบ ๆ เหมือนถูกเข็ม หรือเหมือนมีตัวอะไรไต่) ที่มือและแขน รอบปากและจมูกข้างใดข้างหนึ่ง ชาที่ใบหน้าและแขนขา มีความรู้สึกไวต่อการสัมผัส พูดไม่ได้หรือพูดลำบาก บ้านหมุน มีเสียงหลอนหรือกลิ่นหลอน เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง*** อาการเหล่านี้มักเป็นเพียงชั่วขณะแล้วทุเลาไปได้เอง

อาการปวดศีรษะ มักเกิดขึ้นภายใน 60 นาที (บางครั้งหลายชั่วโมง) หลังสัญญาณบอกเหตุทุเลาลงแล้ว

บางรายสัญญาณบอกเหตุอาจเป็นต่อเนื่อง แม้ภายหลังมีอาการปวดศีรษะเกิดขึ้นแล้ว

บางรายอาจมีสัญญาณบอกเหตุโดยไม่มีอาการปวดตุบ ๆ แบบไมเกรนตามมา หรือมีอาการปวดศีรษะในลักษณะแตกต่างจากไมเกรน (เช่น ปวดมึน ปวดตื้อ) ตามมาก็ได้

นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการผิดปกติล่วงหน้าหรือตามหลังระยะปวดไมเกรน

อาการผิดปกติล่วงหน้า (prodome) อาจเกิดก่อนปวดศีรษะเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ เช่น อารมณ์แปรปรวน (หงุดหงิด ซึมเศร้า หรือครึ้มใจ) อ่อนเพลีย หาวบ่อย ง่วงนอนมาก รู้สึกอยากอาหารบางชนิด (เช่น ช็อกโกแลต ของหวาน) กล้ามเนื้อตึง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คอ) ท้องผูกหรือท้องเดิน ปัสสาวะออกมาก

ส่วนอาการผิดปกติที่อาจพบภายหลังหายปวดศีรษะแล้ว (postdome) เช่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด เฉยเมย ขาดสมาธิ เจ็บหนังศีรษะ อารมณ์แปรปรวน รู้สึกศีรษะโหวง ๆ กลัวแสง เบื่ออาหาร เป็นต้น

ในเด็กมักมีอาการคล้ายดังกล่าวข้างต้น แต่มักจะปวดขมับพร้อมกัน 2 ข้าง และปวดนานน้อยกว่าผู้ใหญ่ (นานประมาณ 1-48 ชั่วโมง) ไม่ค่อยมีสัญญาณบอกเหตุทางตา (อาการผิดปกติทางสายตา) แต่มักมีอาการผิดปกติล่วงหน้า เช่น หาวบ่อย ง่วงนานมากหรือเฉยเมย มีความรู้สึกอยากอาหารบางชนิด (เช่น ช็อกโกแลต ของหวาน นมเปรี้ยว กล้วย)

เด็กบางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง กลัวแสง กลัวเสียง โดยไม่มีอาการปวดศีรษะก็ได้ (เมื่อโตขึ้นก็จะมีอาการปวดศีรษะไมเกรน)
 

*ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะ หรือบ้านหมุนเป็นสำคัญ ซึ่งมักเป็นอยู่นานเป็น 5 นาทีจนถึง 72 ชั่วโมง โดยอาจมีอาการก่อนหรือหลัง หรือเป็นพร้อมกันกับอาการปวดศีรษะ หรืออาจไม่มีอาการปวดศีรษะเลยก็ได้ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีความรู้สึกโคลงเคลง เสียการทรงตัว สับสน หูตึงหรือได้ยินไม่ชัด หูอื้อหรือมีเสียงในหู หรือกลัวแสง กลัวเสียง (แสงเสียงจะกระตุ้นให้อาการกำเริบหนัก) ร่วมด้วย มักเกิดขึ้นเมื่อหันศีรษะเร็ว นั่งยานพาหนะหรือเครื่องเล่น อยู่ในฝูงชนแออัด สับสนอลหม่าน หรือดูสิ่งที่เคลื่อนไหว (เช่น รถแล่น คนเดิน) หรือภาพเคลื่อนไหว (ภาพยนตร์ โทรทัศน์) และอาจมีสาเหตุกระตุ้นอื่น ๆ แบบที่กระตุ้นให้มีอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรน ผู้ป่วยมักมีประวัติโรคไมเกรนในครอบครัว มีประวัติปวดศีรษะจากโรคไมเกรน หรือมีอาการเมารถเมาเรือบ่อย ๆ มาก่อน ไมเกรนชนิดนี้ เรียกว่า "ไมเกรนชนิดเวียนศีรษะ" ("vestibular migraine" "migraine- associated vertigo" "migrainous vertigo" หรือ "migraine-related vestibulopathy") สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับหูชั้นใน (ซึ่งทำหน้าที่ด้านการได้ยินและการทรงตัว) พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5 เท่า มักพบในคนอายุราว ๆ 40 ปี แต่ก็อาจพบในคนอายุน้อยก็ได้

การรักษา ให้ยาบรรเทาตามอาการ อาทิ ยาแก้ปวด (เช่น พาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน) ยาแก้เวียนศีรษะ บ้านหมุน (เช่น ไดเมนไฮดริเนต) ในรายที่เป็นบ่อยหรือกระทบต่อการดำเนินชีวิต แพทย์ก็จะให้ยาป้องกันแบบที่ใช้กับโรคไมเกรน

**ผู้ป่วยไมเกรนส่วนใหญ่ มักจะไม่มีสัญญาณบอกเหตุนำมาก่อน เรียกว่า ไมเกรนชนิดไม่มีสัญญาณบอกเหตุ (migraine without aura) เดิมเรียกว่า ไมเกรนชนิดสามัญ (common migraine) มีเพียงร้อยละ 20-30 ของผู้ป่วยไมเกรนที่จะมีสัญญาณบอกเหตุนำมาก่อน เรียกว่า ไมเกรนชนิดมีสัญญาณบอกเหตุ (migraine with aura) เดิมเรียกว่า ไมเกรนชนิดตรงต้นแบบ (classical migraine) ผู้ป่วยที่เคยมีสัญญาณบอกเหตุต่อไปอาจมีอาการปวดไมเกรนโดยไม่มีสัญญาณบอกเหตุก็ได้

***อาการแขนขาอ่อนแรงจะเป็นเพียงชั่วคราว และฟื้นหายเป็นปกติได้เอง เกิดจากสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะ ซึ่งพบในผู้ที่เป็นไมเกรนชนิดที่พบได้น้อย ได้แก่
- ไมเกรนชนิดแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก (hemiplegic migraine) พบในเด็กและคนอายุต่ำกว่า 20 ปี มักมีประวัติโรคไมเกรนชนิดนี้ในครอบครัว เมื่อมีอาการกำเริบ จะมีอาการแขนและขาซีกหนึ่งอ่อนแรง อาจสลับข้างในการกำเริบแต่ละครั้ง อาการอาจเป็นอยู่นานประมาณ 5-60 นาที บางรายอาจนานถึง 24 ชั่วโมง และอาจมีอาการชา ตาพร่า เดินเซ ชัก หรือหมดสติร่วมด้วย
- ไมเกรนชนิดก้านสมองขาดเลือด (basilar migraine) พบบ่อยในหญิงวัยรุ่น เกิดจากก้านสมอง (brain stem) ขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดไมเกรน ร่วมกับอาการบ้านหมุน พูดลำบาก เห็นภาพซ้อน สับสน เป็นลม หมดสติ แขนขาอ่อนแรงทั้ง 4 ข้าง ซึ่งจะเป็นนานประมาณ 20-30 นาที บางรายอาจนานหลายวัน

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่จะเป็น ๆ หาย ๆ เป็นช่วง ๆ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากอาจทำให้มีความวิตกกังวลหรือซึมเศร้า

บางรายอาจมีอาการปวดไมเกรนต่อเนื่อง (status migrainosus) คือปวดติดต่อกันนานเกิน 72 ชั่วโมง หรืออาจเป็นไมเกรนเรื้อรัง (chronic migraine) คือปวดมากกว่า 15 วัน/เดือน

โรคไมเกรนเรื้อรัง มักจะสัมพันธ์กับโรควิตกกังวล โรคแพนิก โรคอารมณ์แปรปรวนหรือซึมเศร้า มีภาวะเครียด หรือมีการใช้ยาแก้ปวดไมเกรนมากเกินไป (มากกว่า 2-3 ครั้ง/สัปดาห์)

มีน้อยรายมากที่อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองจากภาวะขาดเลือดแทรกซ้อน ซึ่งมักพบในผู้หญิงที่เป็นไมเกรนชนิดมีสัญญาณบอกเหตุ (aura) ที่มีประวัติสูบบุหรี่ และ/หรือกินยาเม็ดคุมกำเนิด

นอกจากนี้ ผู้ป่วยไมเกรนยังอาจมีภาวะอื่น ๆ ร่วมด้วยมากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นไมเกรน เช่น โรคลมชัก ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติจากกรรมพันธุ์ โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคลำไส้แปรปรวน ความดันโลหิตสูง โรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ (hereditary essential tremor) เป็นต้น

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและประวัติการเจ็บป่วยเป็นหลัก

ส่วนการตรวจร่างกาย มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

บางรายขณะที่มีอาการปวด อาจคลำได้หลอดเลือดที่บริเวณขมับโป่งพองและเต้นตุบ ๆ (ลักษณะนุ่ม ไม่เป็นลำแข็งและกดไม่เจ็บ) บางรายอาจพบอาการเจ็บเสียวที่หนังศีรษะเวลาสัมผัสถูก

น้อยรายมากที่อาจพบอาการแสดงของสัญญาณบอกเหตุ เช่น พูดไม่ได้ แขนขาอ่อนแรง หมดสติ

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคไมเกรนชนิดไม่มีสัญญาณบอกเหตุ

มีอาการปวดศีรษะกำเริบอย่างน้อย 5 ครั้ง ซึ่งมีลักษณะอาการดังนี้

1. ปวดศีรษะแต่ละครั้งนาน 4-72 ชั่วโมง

2. มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 2 อย่าง

    ปวดข้างเดียว
    ปวดแบบตุบ ๆ
    ปวดรุนแรงปานกลางถึงมาก (เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน)
    ปวดมากขึ้นเมื่อเดินขึ้นบันไดหรือเคลื่อนไหวร่างกาย

3. มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 1 อย่าง

    คลื่นไส้ อาเจียน หรือทั้ง 2 อย่าง
    กลัวแสง กลัวเสียง หรือทั้ง 2 อย่าง

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคไมเกรนชนิดมีสัญญาณบอกเหตุ

มีอาการกำเริบอย่างน้อย 2 ครั้ง ซึ่งมีลักษณะอาการดังนี้

1. มีสัญญาณบอกเหตุอย่างน้อย 1 อาการ (โดยไม่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต) ดังต่อไปนี้

    อาการผิดปกติทางสายตา เช่น เห็นแสงวอบแวบ เห็นเป็นเส้นหยัก ภาพเบี้ยว ภาพเล็กหรือใหญ่เกินจริง เห็นดวงมืดในลานสายตา
    ความรู้สึกสัมผัสผิดปกติ เช่น รู้สึกเสียวแปลบเหมือนถูกเข็มตำ หรือมีตัวอะไรไต่ ชาที่ใบหน้าหรือแขนขา
    มีอาการพูดไม่ได้หรือพูดลำบาก

2. มีอาการบอกเหตุมีลักษณะอย่างน้อย 2 ข้อต่อไปนี้

ก. มีอาการผิดปกติทางสายตาข้างเดียว และ/หรือความรู้สึกสัมผัสผิดปกติข้างเดียว

ข. มีสัญญาณบอกเหตุอย่างน้อย 1 อาการที่ค่อย ๆ เกิดมากขึ้นในช่วงเวลามากกว่า 5 นาที และ/หรือมีสัญญาณบอกเหตุต่าง ๆ ทยอยเกิดตามกันมาในช่วงเวลามากกว่า 5 นาที

ค. สัญญาณบอกเหตุแต่ละอย่างเป็นอยู่นาน 5-60 นาที

การรักษาโดยแพทย์

1. ขณะที่มีอาการกำเริบ แพทย์จะให้ยาบรรเทาปวด ได้แก่ ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน ซึ่งมักจะให้เพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง บางรายแพทย์อาจให้ทั้ง 2 ชนิดร่วมกัน

และแนะนำผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการดูแลรักษาตัวเองและการป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อย ข้อสำคัญคือ การให้ยาบรรเทาอาการ ต้องรีบกระทำทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกมีอาการกำเริบจึงจะได้ผลดี
 

ถ้ามีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย ให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน เช่น เมโทโคลพราไมด์

ถ้ามีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้หรืออาเจียน หรืออาการคล้ายเมารถเมาเรือ (ในรายที่เป็นไมเกรนชนิดเวียนศีรษะ) ให้ยาแก้เวียนศีรษะ เมารถเมาเรือ เช่น ไดเมนไฮดริเนต

2. ในรายมีอาการปวดมาก หรือที่กินยาบรรเทาปวดแล้วไม่ทุเลา แพทย์จะให้ยารักษาไมเกรนกลุ่มทริปแทน (triptan) เช่น ซูมาทริปแทน (sumatriptan)* ซึ่งอาจให้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์

ถ้ามีอาการคลื่นไส้มากจนกินยาไม่ได้ แพทย์จะให้ยาชนิดฉีด เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไดโคลฟีแนก, ยาไดไฮโดรเออร์โกตามีน (dihydroergotamine), ยาแก้อาเจียน เช่น เมโทโคลพราไมด์ เป็นต้น

3. ถ้าปวดรุนแรง ปวดติดต่อกันนานเกิน 72 ชั่วโมง แขนขาอ่อนแรงหรือหมดสติ ตามืดมัวหรือเห็นภาพซ้อน หรือสงสัยเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ (เช่น ต้อหินเฉียบพลัน หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ โรคหลอดเลือดสมองแตก ศีรษะได้รับบาดเจ็บ/เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เจาะหลัง ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

ถ้าตรวจพบว่าเป็นไมเกรนที่มีอาการแขนขาอ่อนแรงหรือหมดสติ (เป็นอาการแสดงของไมเกรนชนิดรุนแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก) แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาแบบประคับประคอง อาการจะเป็นอยู่ชั่วคราวและหายได้เอง

4. ในรายที่มีอาการมากกว่าเดือนละ 3 ครั้ง แพทย์อาจให้ยาป้องกัน (ดูที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านล่าง) ถ้าใช้ยาไม่ได้ผล หรือมีอาการปวดแทบทุกวัน (มากกว่า 15 วัน/เดือน) ซึ่งถือว่าเป็นไมเกรนเรื้อรัง แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและแก้ไขตามสาเหตุที่พบ (เช่น ภาวะซึมเศร้า, การใช้ยารักษาไมเกรนพร่ำเพรื่อมากไป เป็นต้น)

ผลการรักษา โรคนี้มักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง การใช้ยาและการดูแลตนเองช่วยให้ผู้ป่วยปลอดจากอาการได้นานระยะหนึ่ง หากเจอสิ่งกระตุ้นก็จะกำเริบได้อีก

*ยากลุ่มทริปแทน มีอยู่หลายชนิด มีฤทธิ์กระตุ้นสารซีโรโทนิน (serotonin agonist) และอาจมีผลข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ออกร้อนวูบวาบตามตัว บางรายอาจมีอาการกลืนลำบาก ลมพิษ ผื่นคัน เจ็บหรือแน่นหน้าอกได้ มีข้อควรระวัง ได้แก่

- ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมองตีบ หรือหลอดเลือดส่วนปลายตีบ ความดันโลหิตที่ยังควบคุมไม่ได้ ผู้ที่เป็นไมเกรนชนิดแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกหรือชนิดก้านสมองขาดเลือด หญิงตั้งครรภ์

- ไม่ควรใช้ควบกับยากลุ่มเออร์โกตามีน (ควรเว้นช่วงห่างอย่างน้อย 24 ชั่วโมง) เนื่องจากมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดแดงหดเกร็ง (vasospasm)

- ห้ามใช้นับรวมกันเกิน 10 วันต่อเดือน เพราะอาจทำให้เกิด "ภาวะปวดศีรษะจากการใช้ยาเกิน (medication overuse headache)"

สำหรับซูมาทริปแทน ให้กินขนาด 50-100 มก. ครั้งเดียว  ถ้าไม่ทุเลาอาจกินซ้ำได้อีกครั้งใน 2 ชั่วโมงต่อมา (ไม่ควรเกิน 200 มก./24 ชั่วโมง)

การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    กินยาแก้ปวด-พาราเซตามอล* หรือยาที่แพทย์แนะนำ ทันทีที่มีอาการ
    หยุดงานหรือกิจกรรมที่ทำ หยุดการเคลื่อนไหวไปมา หาทางนอนหรือนั่งแบบผ่อนคลายอารมณ์ (อาจตามลมหายใจเข้าออก) ในห้องที่เงียบ มีแสงสลัว และอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อบอ้าว จนกว่าอาการปวดจะทุเลา
    สังเกตว่ามีสาเหตุอะไรที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ แล้วหาทางหลีกเลี่ยงเสีย (โดยจดบันทึกเรื่องราวการกำเริบของโรคนี้ที่เกิดขึ้นทุกครั้งว่า ก่อนมีอาการกำเริบมีการดำเนินชีวิตอย่างไร ทำอะไร สัมผัสอะไร นอนหลับพักผ่อนดีหรือไม่ ร่างกายและจิตใจมีความเครียดหรือไม่)

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ปวดรุนแรง ปวดจนนอนไม่หลับ เวียนศีรษะมาก หรืออาเจียนมาก
    มีอาการปวดตารุนแรง
    ตรวจพบความดันโลหิตสูง
    ปวดนานเกิน 72 ชั่วโมง
    คลำได้เส้นปูดที่ขมับ (ข้างที่ปวด) เป็นลำแข็งกดเจ็บ
    ตามืดมัวหรือเห็นภาพซ้อนต่อเนื่องนานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ
    แขนขาชาหรืออ่อนแรง เดินเซ หรือชักกระตุก
    เป็นการปวดครั้งแรกในคนอายุมากกว่า 40 ปี
    เป็นๆ หาย ๆ บ่อย หรือมีอาการกำเริบแรงหรือถี่ขึ้นกว่าเดิม
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

1. สำหรับผู้ที่ปวดไมเกรนบ่อย ๆ ให้พยายามค้นหาสิ่งที่กระตุ้นให้ปวด แล้วหลีกเลี่ยงเสีย เช่น

    ถ้ากินยาเม็ดคุมกำเนิดทำให้ปวดบ่อย ก็เลิกยานี้เสีย และหันไปใช้ยาคุมชนิดฉีดแทน (ยานี้มีฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน มีส่วนช่วยป้องกันไมเกรน)
    ถ้ากินอาหารผิดเวลา กินอาหารจำพวกโปรตีนมาก อาหารใส่ผงชูรส หรือดื่มแอลกอฮอล์ แล้วปวดไมเกรน ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย
    ถ้าออกกลางแดด หรือเข้าไปในที่ที่มีแสงจ้า อากาศร้อน หรือเสียงอึกทึกจอแจ (เช่น ตลาดนัด) หรืออดนอน แล้วปวดไมเกรน ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย เป็นต้น

2. ถ้าไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุกระตุ้น หรือทราบแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และยังปวดอยู่บ่อย ๆ (มากกว่า 3 ครั้ง/เดือน) จนเสียการเสียงาน แพทย์จะให้ยากินป้องกันไม่ให้ปวด ซึ่งมีอยู่หลายขนาน โดยให้เลือกใช้ขนานใดขนานหนึ่ง เช่น อะมิทริปไทลีน, ไพโซติเฟน, ไซโพรเฮปตาดีน, โพรพราโนลอล, โซเดียมวาลโพรเอต (sodium valproate), โทพิราเมต (topiramate) เป็นต้น และให้กินเป็นประจำทุกวัน ควรให้ติดต่อกันนาน 4-6 เดือนจึงค่อยหยุดยา เมื่อกลับมามีอาการกำเริบบ่อย ๆ อีก ก็ให้กินยาป้องกันซ้ำอีก

29
รถยนต์ไฟฟ้า เอ็มจี MG ZS EV 100th Anniversary Special Edition ปี 2024
899,900 บาท 

เอ็มจี MG ZS EV 100th Anniversary Special Edition ปี 2024
MG ZS EV 100th Anniversary Special Edition มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Truly Easy กับสมรรถนะเหนือชั้นกับระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลัง 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ขนาด 50.3 kWh ขับขี่ได้ระยะทางสูงสุดถึง 403 กิโลเมตร/การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC) พร้อมมีระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ โดดเด่นด้วยดีไซน์เรียบหรูสะดุดตาแต่คงความสปอร์ตไว้อย่างลงตัว ภายในกว้างขวาง ดีไซน์เรียบหรูแต่แฝงความสปอร์ตพรีเมียมด้วยคอนโซลหน้าลายคาร์บอนไฟเบอร์ ใช้วัสดุบุนุ่มแบบ Soft Touch และฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ระบบเชื่อมต่อมัลติมิเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android พร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM 20 ระบบ อีกทั้งยังมีระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART และพร้อมโลโก้พิเศษฉลอง100 ปี ราคาพิเศษเพียง 899,900 บาท เท่านั้น

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             MG
   รุ่น                   เอ็มจี MG ZS EV 100th Anniversary Special Edition ปี 2024
   ประเภทรถ         รถอเนกประสงค์ SUV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว         2024
   ราคา               899,900 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
อุปกรณ์ชุดแต่ง (กระจังหน้า และกันชนหน้าแบบ GRILLE-LESS DESIGN)
ซันรูฟ (เปิดได้) (แบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof))
สปอยเลอร์หลัง
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว (ปรับไฟฟ้า)
ปัดน้ำฝนกระจกหลัง
ไฟท้าย LED
ขนาดยางหน้า-หลัง (215/55R17)
ราวหลังคา
ยางอะไหล่สำรอง (จะได้ ชุดซ่อมยางฉุกเฉินมาแทน)
ไฟหน้า LED
ไฟ Daytime Running Lights
ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์
ล้ออัลลอย (17 นิ้ว ฝาครอบล้อแบบ Aero Wheel Cover)

   ภายใน
ระบบนำทาง (Navigator)
ตกแต่งภายใน (ด้วยวัสดุ Soft touch)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
พวงมาลัยหุ้มหนัง (มัลติฟังก์ชัน ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์)
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้
ภายในโทนสีดำ
กระจกมองหลังตัดแสง
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (ระบบจ่ายกระแสไฟ V2L (Vehicle to Load))
พวงมาลัยไฟฟ้า

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                    Permanent Magnet Synchronous Motor มอเตอร์ไฟฟ้า 177 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)       177 แรงม้า
   ระบบเกียร์                       1 จังหวะ
   รูปแบบเกียร์                     EDS
   ระบบเบรค ABS                 มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB)
   ชนิดแบตเตอรี่                   ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่               50.3 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง    403 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NDEC)
   น้ำหนักตัวรถ                      1,610 กก.
   ประเภทยางรถยนต์                -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                   ล้ออัลลอย (17 นิ้ว ฝาครอบล้อแบบ Aero Wheel Cover)
   ระบบขับเคลื่อน                   ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัย
  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS)
ตัวถังนิรภัย (FSF)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
กุญแจรีโมท (Smart Key)
กุญแจนิรภัย (แบบ Immobilizer)
ล็อคประตูอัตโนมัติ
ไฟเบรกดวงที่ 3
สัญญาณเตือนถอยหลัง
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ)
เข็มขัดนิรภัย (คู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ แถวหลังแบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง)
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน
อื่นๆ (ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน,ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW,ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA)
ระบบ intelligence forward collision warning
ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน
ระบบสั่งการด้วยเสียง
กล้อง (กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ)
ระบบเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน EBA (Emergency Brake Assist) และระบบเบรกอัตโนมัติ BOS (Brake Override System
เทคโนโลยีสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Forward Collisio
เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking - IEB)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA)
เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor - IAVM)
เทคโนโลยีควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HSA
เบรกมือไฟฟ้า
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX)

30
อาการของโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)* หมายถึง การหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วช่วงสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยระหว่างนอนหลับ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง ทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจ สมอง และปอด ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้

ภาวะนี้พบบ่อยในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

ในกลุ่มผู้ชายสูงอายุและอ้วน พบภาวะหยุดหายใจขณะหลับประมาณร้อยละ 10 ขณะที่กลุ่มคนทั่วไปที่นอนกรน พบภาวะนี้เพียงร้อยละ 1

*ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 Central sleep apnea เกิดจากสมองไม่ส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกที่ใช้ในการหายใจ ทำให้หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ พบในผู้ป่วยที่เป็นโรคทางสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือเนื้องอกสมอง เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 Obstructive sleep apnea เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งพบได้มากกว่ากลุ่มที่ 1 มาก ในที่นี้เมื่อกล่าวถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับก็มักจะหมายถึงกลุ่มที่ 2 นี้


สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยดังต่อไปนี้

    อายุ คนที่มีอายุมาก เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อหย่อนยาน ทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอแคบลง ลิ้นไก่และลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย โรคนี้พบบ่อยในคนอายุ 40-70 ปี
    เพศ พบภาวะนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เชื่อว่าฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจมีความตึงตัวที่ดีกว่า จึงมีการอุดกั้นทางเดินหายใจน้อยกว่าผู้ชาย แต่หลังวัยหมดประจำเดือนผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้พอ ๆ กับผู้ชาย
    ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้า คนที่มีลักษณะคางสั้น กระดูกใบหน้าแบน จะมีช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบกว่าปกติ
    ความอ้วน คนที่อ้วนจะมีการสะสมไขมันมากที่ลำคอและทรวงอก ทำให้ช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบลง และการเคลื่อนไหวของหน้าอกน้อยกว่าปกติ
    การบริโภคแอลกอฮอล์ ยากลุ่มประสาทและยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ รวมทั้งบริเวณลำคออ่อนแรง เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย
    การสูบบุหรี่ ทำให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพลดลง
    กรรมพันธุ์ อาจพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นด้วย
    โรคประจำตัว เช่น หืด หวัดภูมิแพ้ ติ่งเนื้อเมือกจมูก ผนังกั้นจมูกคด พาร์กินสัน ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง เป็นต้น
    ในเด็ก อาจเกิดจากทอนซิลโต ต่อมอะดีนอยด์โต หรือมีความผิดปกติแต่กำเนิด (เช่น ใบหน้าเล็ก ลิ้นใหญ่)

เมื่อมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้นเกิดขึ้นขณะนอนหลับ ก็จะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจตามมา ซึ่งอาจแสดงอาการได้ 2 ลักษณะ ได้แก่

1. การหยุดหายใจ (apnea) ไม่มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกและปาก เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที

2. การหายใจแผ่ว (hypopnea) มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกหรือปากลดลงอย่างน้อยร้อยละ 50 เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที สังเกตได้จากการกระเพื่อมของหน้าอกและท้องลดลง

ขณะที่หยุดหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือดจะต่ำลง ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงน้อยลง เมื่อลดลงถึงระดับหนึ่ง สมองจะมีกลไกตอบสนองโดยอัตโนมัติ ปลุกให้ตื่นจากหลับ และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้นตึงตัว เปิดช่องทางเดินหายใจให้โล่ง (ผู้ป่วยจะมีอาการสะดุ้ง สำลักน้ำลายตนเอง หรือหายใจเฮือกอย่างดังและแรง) ผู้ป่วยก็จะกลับมาหายใจเป็นปกติ พอหลับไปได้สักพักหนึ่งก็เกิดภาวะหยุดหายใจอีก แล้วสมองก็จะปลุกให้ตื่นอีก เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งคืน อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นมากกว่าชั่วโมงละ 10 ครั้ง ทำให้นอนหลับไม่เต็มที่ แต่ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ามีการสะดุดของการนอน และเข้าใจว่าตัวเองนอนหลับได้ดี

อาการ

ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยจะมีอาการนอนกรนเสียงดัง สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ร่วมกับมีการหยุดหายใจหรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ (ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ จะสังเกตเห็นหน้าอกและท้องไม่กระเพื่อม หรือกระเพื่อมน้อยลง) นานอย่างน้อย 10 วินาที บางครั้งอาจนานถึง 1 นาที

ผู้ป่วยจะรู้สึกนอนหลับไม่สนิท นอนกระสับกระส่าย นอนอ้าปากหายใจให้ได้อากาศ หรือสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ และเวลาตื่นขึ้นมารู้สึกคอแห้งหรือเจ็บคอ 

หลังตื่นนอนตอนเช้ามักมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย รู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ทั้งที่มีเวลานอนนานเพียงพอ

ผู้ป่วยมักมีอาการง่วงนอนบ่อย นั่งสัปหงก หรือหลับง่ายในช่วงเวลากลางวัน เช่น ขณะทำงาน เรียนหนังสือ นั่งคุยกับผู้อื่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หลังอาหารกลางวัน เป็นต้น บางครั้งมีอาการหลับในขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรจนได้รับอุบัติเหตุ

ผู้ป่วยมักมีอารมณ์หงุดหงิด หรืออารมณ์เสียง่าย เสียสมาธิ หลงลืมง่าย

ในเด็ก อาจมีอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนหรือปัสสาวะรดที่นอน นอนดิ้นไปดิ้นมา หลับไม่สนิท ผวาตื่นหรือฝันร้าย ร่างกายไม่แข็งแรงร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยมีอาการง่วงนอนง่าย อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย เสียสมาธิ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และอาจเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถหรือการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ในเด็กอาจทำให้เรียนหนังสือได้ไม่ดี หรือมีปัญหาด้านความประพฤติได้

นอกจากนี้ หากปล่อยให้เป็นเรื้อรังนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษา อาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น

    ความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีการหลั่งสารอะดรีนาลินออกมาในร่างกายมากกว่าปกติ พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
    เบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับเพิ่มโอกาสของการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance)
    โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (อาจเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ) โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง ความดันในปอดสูง (pulmonary hypertension ซึ่งเป็นต้นเหตุของภาวะหัวใจซีกขวาล้มเหลว)
    ผู้ที่มีโรคหัวใจขาดเลือดอยู่ก่อน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
    ตับมีความผิดปกติ เช่น มีเอนไซม์ตับ (AST, ALT) สูง และภาวะไขมันสะสมในตับ
    ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction/ED)
    ความผิดปกติทางจิตประสาท เช่น ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง โรคซึมเศร้า เป็นต้น 
    อาการนอนกรนเสียงดังยังส่งผลต่อปัญหาสังคม คือ อาจเป็นเหตุของการหย่าร้างระหว่างสามีภรรยา
    ในเด็ก อาจทำให้พัฒนาการของร่างกายและสมองแย่ลง ฮอร์โมนเจริญเติบโต (growth hormone) มีปริมาณลดลง ทำให้มีความสูงน้อยกว่าเด็กปกติ ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หรือปัสสาวะรดที่นอน นั่งสัปหงกในห้องเรียน ไม่มีสมาธิในการเรียน ผลการเรียนไม่ดี

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายขณะตื่นนอนตอนกลางวัน มักไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน ยกเว้นบางคนอาจตรวจพบว่ามีรูปร่างอ้วน ความดันโลหิตสูง

การตรวจร่างกายขณะนอนหลับ จะพบอาการกรนเสียงดัง และมีภาวะหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจความผิดปกติระหว่างการนอนหลับด้วยวิธีที่เรียกว่า "Polysomnography (PSG)" โดยต้องไปนอนค้างที่โรงพยาบาล แล้วใช้อุปกรณ์ตรวจวัดลักษณะการหายใจ และการเปลี่ยนแปลงของหัวใจ ปอด สมอง การเคลื่อนไหวของแขนขา ระดับออกซิเจนในเลือด

นอกจากนี้ ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือมีอาการที่สงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

1. แพทย์จะเริ่มต้นให้การดูแลรักษา ด้วยการให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่

    การลดน้ำหนักตัว ควรลดให้ได้มากกว่าร้อยละ 10 อาจมีผลทำให้หายขาดในผู้ป่วยบางรายได้
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำให้ร่างกายแข็งแรง มีส่วนช่วยให้อาการทุเลาได้ แม้ว่าจะมีน้ำหนักตัวเกิน
    หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้ทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่าย และหยุดหายใจนานขึ้น 
    พยายามนอนในท่าตะแคง หรือท่าที่ทำให้อาการลดลง (สมัยก่อนมีการใช้ถุงใส่ลูกเทนนิส 3-4 ลูกติดไว้ด้านหลังของเสื้อนอน เพื่อบังคับให้ผู้ป่วยนอนตะแคง)
    งดสูบบุหรี่

2. ถ้าไม่ได้ผล หรือมีอาการรุนแรง ก็จะให้การรักษาเพิ่มเติม ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายวิธี ดังนี้

    การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม ช่วยเพิ่มขนาดของทางเดินหายใจในช่วงนอนหลับ วิธีนี้ใช้ได้ผลในรายที่เป็นไม่รุนแรง
    การใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (continuous positive airway pressure/CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ มีลักษณะเป็นหน้ากากใช้สวมจมูกเวลานอน สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นรุนแรง และได้ผลในการแก้ภาวะนี้ได้มากกว่าร้อยละ 90
    การผ่าตัดขยายทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายวิธี แพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนเด็กที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทอนซิลโตหรือต่อมอะดีนอยด์ (adenoid) โต ก็รักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์

3. หากพบมีภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น แพทย์ก็จะทำการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป

ผลการรักษา ส่วนใหญ่สามารถรักษาให้อาการหายเป็นปกติได้ด้วยการปรับพฤติกรรม และ/หรือใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) ส่วนน้อยที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากมีอาการนอนกรน ร่วมกับมีความรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม มีอาการปวดศีรษะหรืออ่อนเพลียหลังตื่นนอน หรือมีอาการง่วงนอนหรือนั่งสัปหงกง่ายในเวลากลางวัน ควรปรึกษาแพทย์ 

เมื่อตรวจพบว่าเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ปรับพฤติกรรมที่มีส่วนช่วยในการรักษาโรคอย่างจริงจัง ได้แก่ ลดน้ำหนักตัว ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน งดสูบบุหรี่ พยายามนอนในท่าตะแคง
    สงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น

การป้องกัน

สำหรับกลุ่มที่มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวและพฤติกรรม อาจป้องกันหรือทำให้โรคทุเลาได้ด้วยการปฏิบัติตัว ที่สำคัญคือ การออกกำลังกาย การลดน้ำหนัก การไม่บริโภคสุราและยาสูบ และการควบคุมโรค (เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หวัดภูมิแพ้ หืด ภาวะขาดไทรอยด์ เป็นต้น)

ข้อแนะนำ

1. อาการนอนกรน (snoring) มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดไม่อันตราย (ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง) และชนิดอันตราย (ซึ่งมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย และส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย) ดังนั้น ถ้ามีอาการนอนกรน ควรสังเกตว่ามีภาวะหยุดหายใจ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ (เช่น ง่วงนอนหรือหลับง่ายในเวลากลางวัน อารมณ์หงุดหงิด เสียสมาธิ หลงลืมง่าย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น) ร่วมด้วยหรือไม่ หากสงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยและให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ

2. การรักษาโรคนี้ด้วยการใช้เครื่องอัดอากาศ (CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ จะช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ต้องใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกคืน เมื่อหยุดใช้อาการมักกลับมากำเริบได้อีก

3. การรักษาภาวะนี้ให้ได้ผลอย่างจริงจัง จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะความดันโลหิตสูงที่พบร่วมด้วยก็จะหายได้ ในช่วงที่ยังมีความดันโลหิตสูง อาจจำเป็นต้องให้ยาลดความดัน

หน้า: [1] 2 3 ... 5